ชุดดินนครปฐม

ชุดดินในที่ลุ่มที่สำคัญ ในภาคกลาง

2. ชุดดินนครปฐม (Nakhon Pathom series : Np)

กลุ่มชุดดินที่ 7

การกำเนิด : เกิดจากตะกอนน้ำพามาทับถมอยู่บนที่ราบตะกอนน้ำพาหรือตะพักลำน้ำ

สภาพพื้นที่ : ราบเรียบถึงค่อนข้างราบเรียบ มีความลาดชัน 0-2 %

การระบายน้ำ : ค่อนข้างเลว

การซึมผ่านได้ของน้ำ : ช้า

การไหลบ่าของน้ำบนผิวดิน : ช้า

ลักษณะสมบัติของดิน : เป็นดินลึก ดินบนเป็นดินร่วน ดินร่วนเหนียวปนทรายแป้ง หรือดินร่วนปนดินเหนียวสีน้ำตาลปนเทาหรือน้ำตาลเข้ม ปฏิกิริยาดินเป็นกรดจัดถึงเป็นกรดเล็กน้อย (pH 5.0-6.5) ดินล่างตอนบนเป็นดินเหนียวหรือดินร่วนปนดินเหนียว สีน้ำตาลปนเทาเข้ม ปฏิกิริยาดินเป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นด่างปานกลาง (pH 6.5-8.0) ในตอนล่าง จะพบมวลก้อนกลมของเหล็กและแมงกานีส รวมทั้งมวลก้อนกลมของปูน ที่ระดับความลึกมากกว่า 80 ซม. พบจุดประสีน้ำตาลแก่หรือน้ำตาลปนเหลืองตลอดชั้นดิน

การแพร่กระจาย : พบมากบริเวณที่ราบลุ่มในภาคกลาง ส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ในจังหวัดสิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และนครปฐม ใช้ประโยชนที่ดินสำหรับการปลูกข้าวซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของที่ราบลุ่มภาคกลาง

ปัญหาและข้อจำกัด : การมีน้ำขังในช่วงฤดูฝน

ข้อเสนอแนะ : เหมาะสำหรับทำนา ความอุดมสมบูรณ์ของดินอยู่ในระดับปานกลางถึงค่อนข้างสูง จะให้ผลผลิตข้าวอยู่ในระดับปานกลางถึงค่อนข้างสูง ปรับปรุงบำรุงดินและเพิ่มผลผลิตโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมี ในพื้นที่ชลประทาน นอกฤดูทำนาอาจปลูกพืชไร่หรือพืชผัก ซึ่งจะต้องยกร่องและปรับสภาพดินให้ร่วนซุยและระบายน้ำดีขึ้น โดยการเพิ่มอินทรียวัตถุ

สมบัติทางเคมี :

บทความที่เกี่ยวข้อง

พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันที่ถูกน้ำท่วม เกิดความเสียหายที่มีระดับความรุนแรงแตกต่างกันขึ้นอยู่กับช่วงอายุของปาล์มและสถานการณ์น้ำท่วมในแต่ละพื้นที่ ดังนี้ 1. น้ำท่วมน้อยกว่า 15 วัน 1.1 น้ำที่ท่วมขังไม่มีตะกอนดิน ต้นปาล์มน้ำมันฟื้นฟูตัวเองได้หลังน้ำลด 1.2 น้ำที่ท่วมขังมีตะกอนดินหรือน้ำเน่าเสีย
การทำนาเปียกสลับแห้ง คือ แนวทางการเพาะปลูกที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการควบคุมระดับน้ำในแปลงนาให้เกิดสภาวะเปียกและแห้งสลับกันอย่างเหมาะสม
การทำเกษตรแบบดั้งเดิมนั้น ภายหลังจากการเกี่ยวข้าว เกษตรกรบางส่วนจะนิยมเผาตอซังและฟางข้าว เนื่องจากเป็นวิธีกำจัดฟางข้าว เพื่อจัดการพื้นที่นาได้อย่างสะดวกรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม การเผาตอซังและฟางข้าวนั้น กลับส่งผลกระทบหลายด้านด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะปัญหาด้านโครงสร้างของดินที่เปลี่ยนไป เพราะเป็นการทำลาย