วันนี้ทางสยามคูโบต้าฯ ได้มีโอกาสได้สัมภาษณ์เกษตรกรผู้มากประสบการณ์ในด้านการเพาะปลูกข้าวโพดมานานกว่า 25 ปี ใน อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี นั่นก็คือ คุณอนงค์ วัตวงษ์ ซึ่งทำการเพาะปลูกข้าวโพดบนพื้นที่กว่า 50 ไร่ ให้เป็นเกษตรกรมืออาชีพถึงปัจจุบัน โดยที่เกษตรกรรายอื่นสามารถปฏิบัติตามได้อย่างแน่นอน
ปฏิทินการเพาะปลูกข้าวโพดฉบับคุณอนงค์
แนวทางการเพาะปลูกข้าวโพดให้เป็นเกษตรมืออาชีพ
การเตรียมดินปลูกข้าวโพด เริ่มจากกการไถระเบิดดินดานก่อนปลูก ทำให้เกิดการเปิดหน้าดินน้อยลดการสูญเสียความชื้น และเป็นอีกวิธีที่สามารถกำจัดวัชพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพหลังจากนั้นทำการพักหน้าดินประมาณ 2 เดือนแล้วจึงทำการไถบุกเบิก และไถพรวนเพื่อให้ดินมีความละเอียดเพาะสำหรับการเพาะปลูก
1. พันธุ์ข้าวโพด ควรคัดเลือกให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศและพื้นที่ในการเพาะปลูก โดยเกษตรกรท่านนี้ใช้ข้าวโพดพันธุ์ NK6253 เนื่องจากมีคุณสมบัติในการทนแล้งและให้น้ำหนักดีผลผลิตสูง
2. การปลูก เน้นปลูกในช่วงฤดูแล้ง แต่ต้องมีการจัดการน้ำในระบบชลประทานที่ดีซึ่งจะทำการเพาะปลูกทันในช่วงเดือนพฤษภาคม ก่อนการปลูกทุกครั้งควรใส่ปุ่ยรองพื้นสูตร 16-8-8 เนื่องจากจะทำให้ต้นข้าวโพดอวบ และระยะระหว่างแถว-ต้นที่แนะนำ คือ 75×20-25 เซนติเมตร ส่วนความลึกที่เหมาะสม คือ 25 เซนติเมตร
3. การดูแลรักษา
หลังปลูก ต้องฉีดยาคุมวัชพืชทันที
หลังข้าวโพดงอก 7 วัน – ข้าวโพดอายุ 1 เดือน แนะนำให้ฉีดพ่นสารป้องกันหนอนกระทู้ โดยให้ฉีดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
วันที่ 25 หลังปลูก ให้เริ่มทำการใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ระหว่างร่องปลูกเพื่อบำรุงต้นอ้อยให้แข็งแรง
วันที่ 45-60 หลังปลูก(ระยะก่อนออกดอก) ควรฉีดพ่นสารทางใบครั้งที่ 1 เพื่อป้องกันโรคและแมลง
วันที่ 90 หลังปลูก ควรฉีดพ่นสารทางใบครั้งที่ 2
4. การเก็บเกี่ยว เมื่อข้าวโพดประมาณ 120วันหลังจากการปลูก จึงเริ่มทำการเก็บเกี่ยว
5. การจัดการหลังการเก็บเกี่ยวเกษตรท่านนี้แนะนำให้ไถกลบซังข้าวโพดและวัชพืช จะทำให้ดินร่วนซุย ง่ายต่อการเตรียมดินสำหรับปลูก ถ้าทำการเผาซังข้าวโพดจะส่งผลกระทบต่อจุนทรีย์ในดิน ทำให้ดินแห้ง
โดยเทคนิคพิเศษอีกหนึ่งอย่าง คือ จะทำการปลูกข้าวโพดรุ่นที่ 2 ทันทีหลังจากการเก็บเกี่ยวในรุ่นที่ 1 เนื่องจากดินยังคงเหลือความอุดมสมบูรณ์อยู่มากทำให้ประหยัดเวลาในขั้นตอนการเตรียมดินโดยทำเพียงแค่ไถพรวนเท่านั้น และยังสามารถลดต้นทุนของการผลิตได้อีกด้วย จากการไม่ต้องใส่ปุ๋ยรองพื้นก่อนปลูกและใช้น้ำฝนในการเพาะปลูกได้ทันเวลา
หากมีการบริหารจัดการในทุกๆขั้นตอนได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ จะเป็นหัวใจหลักของการนำไปสู่ความสำเร็จได้อย่างเกษตรกรท่านนี้นั่นเอง