การจัดการสวนปาล์มน้ำมัน

1. การเลือกพื้นที่

  • ควรมีชั้นหน้าดินหรือความอุดมสมบูรณ์ปานกลางถึงสูง
  • ควรเป็นดินร่วน ดินร่วนปนเหนียว ดินร่วนเหนียวปนทราย หรือดินร่วนเหนียวปนทรายแป้งและไม่มีชั้นดินดาน
  • ดินระบายน้ำได้ดีถึงปานกลางความเป็นกรดด่างที่เหมาะสมคือ 4.2 – 5.5
  • ในพื้นที่ลาดชันควรปลูกแบบขั้นบันไดและมีพืชคลุมระหว่างแถวเพื่อลดการพังทลายของดิน
  • ปริมาณน้ำฝนที่เหมาะสม 1,700 – 2,500 มิลลิเมตรต่อปีทิ้งช่วงไม่เกิน 2-3 เดือน หากทิ้งช่วงนานควรมีแหล่งน้ำสำหรับให้ปาล์มน้ำมันในช่วงแล้ง

 2.  การเตรียมพื้นที่

  • พื้นที่ที่มีข้อจำกัดเช่น ดินทราย ดินเค็ม ดินในที่ลุ่มต่ำน้ำท่วมขังนานๆต้องมีการจัดการที่เหมาะสมเช่น ที่ดินลุ่มต่ำต้องทำร่องระบายน้ำ
  • หากเป็นการปลูกแทนปาล์มน้ำมันเดิม ต้องมีการจัดการโค่นล้มต้นปาล์มน้ำมัน
  • ต้องมีการตัดแบ่งถนนในแปลงอย่างเหมาะสมเพื่อขนส่งผลผลิตและลดการเหยียบย่ำดิน
  • ประสิทธิภาพในการใช้แสงเต็มพื้นที่
  • ในช่วงแรกของการปลูกปาล์มน้ำมัน 1-3 ปี ควรมีการปลูกพืชคลุมดินหรือพืชแซมที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินและเป็นการใช้ประโยชน์จากพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ

3.  การปลูกและการดูแลรักษา

ในช่วงแรกของการปลูกปาล์มน้ำมัน 1-3 ปี ควรมีการปลูกพืชคลุมดินหรือพืชแซมที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินและเป็นการใช้ประโยชน์จากพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ

  • เตรียมหลุมปลูกขุดหลุมให้มีขนาดใหญ่กว่าถุงต้นกล้าเล็กน้อยรูปตัวยูหรือทรงกระบอกควรแยกดินชั้นบน-ล่าง ออกจากกัน รองก้นหลุมด้วยหินฟอสเฟต 0-3-0 อัตรา 250 ถึง 500 กรัมต่อหลุม
  • ควรใช้ต้นกล้าที่มีอายุ 8 เดือนขึ้นไปซึ่งมีลักษณะต้นสมบูรณ์แข็งแรงไม่แสดงอาการผิดปกติและมีใบรูปขนนกจำนวนอย่างน้อย 2 ใบ
  • เวลาปลูกควรปลูกในช่วงฤดูฝนไม่ควรปลูกช่วงปลายฝนต่อเนื่องฤดูแล้งหรือหลังจากปลูกแล้วจะต้องมีฝนตกอีกอย่างน้อยประมาณ 3 เดือนจึงเข้าฤดูแล้ง  ข้อควรระวังหลัง จากปลูกไม่ควรเกิน 10 วันจะต้องมีฝนตก 

วิธีการปลูกถอดถุงพลาสติกออกจากต้นกล้าปาล์มน้ำมันอย่าให้ก้อนดินแตกจะทำให้ต้นกล้าชะงักการเจริญเติบโตของต้นกล้าลงในหลุมปลูกใส่ดินชั้นบนลงก้นหลุมแล้วจึงใส่ดินชั้นล่างตามลงไปและจัดต้นกล้าให้ตั้งตรงแล้วจึงอัดดินให้แน่นเมื่อปลูกเสร็จแล้วโคนต้นกล้าจะต้องอยู่ในระดับเดียวกับระดับดินเดิมของแปลงปลูก

1. ตอนปลูกควรใช้ตาข่ายหุ้มรอบโคนเพื่อป้องกันหนูหลังจากปลูกเตรียมป้องกันหนูโดยวิธีผสมผสานหากสำรวจแล้วพบว่ามีหนูเข้าทำลายควรวางเหยื่อพิษและกรงดัก  

2. หลังปลูกถ้าพบด้วงกุหลาบเริ่มทำลายไปเป็นรูพรุนให้ฉีดคาร์บาริลหรือคาร์โบซัลแฟน   อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตรฉีดพ่นทุก 7-10 วัน

3. ด้วงแรดเป็นศัตรูปาล์มน้ำมัน ใช้คอไพริฟอส  อัตรา 80 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตรฉีดพ่นยอดอ่อนและโคนทางใบให้ชุ่มเดือนละครั้ง ไม่ควรวางกองซากพืชและมูลสัตว์ในสวนปาล์มเพราะเป็นแหล่งขยายพันธุ์ด้วงแรด

กำจัดวัชพืชรอบโคนต้นในช่วงอายุ 1-3 ปีตามระยะเวลาเช่นก่อนการใส่ปุ๋ยถ้าใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชระวังอย่าให้สัมผัสต้นปาล์มน้ำมัน

4. การจัดการธาตุอาหาร

  1. ใส่ปุ๋ยเคมีตามตารางด้านล่าง (ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ทั่วไป) ควบคู่กับการสังเกตอาการขาดธาตุอาหารหรือเก็บตัวอย่างดินและใบส่งวิเคราะห์เพื่อปรับปริมาณธาตุอาหารตามความเหมาะสม
  2. ตำแหน่งการใส่ปุ๋ยที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพต้องใส่ในตำแหน่งที่มีรากฝอย (รากที่ 3 – 4) ปริมาณมากซึ่งรากดังกล่าวสามารถดูดธาตุอาหารได้ดี
  3. ควรบำรุงดินเพิ่มอินทรีย์วัตถุเพิ่มปริมาณธาตุอาหารรักษาความชื้นในดินและลดการพังทลายของหน้าดินด้วยการใส่ทะลายเปล่าอัตรา 150-400 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี (ตามอายุปาล์มน้ำมัน) หรือปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยพืชสด 

5. การตัดแต่งทางใบ

พื้นที่ใบเป็นแหล่งสำคัญในการสังเคราะห์แสงพื้นที่ใบที่มากแสดงว่าสังเคราะห์แสงได้มากและช่วยให้มีการเจริญเติบโตที่ดีและให้ผลผลิตสูงดังนั้นหากใบปาล์มน้ำมันยังมีสภาพสวยและมีสีเขียวแสดงว่าใบปาล์มยังคงทำงานได้ดี ไม่ควรตัดทิ้งแต่เมื่อปาล์มน้ำมันอายุเพิ่มขึ้น และไม่สามารถเก็บเกี่ยวทะลายได้ก็จำเป็นต้องตัดและควรมีการตัดแต่งทางใบที่แห้งหรือหมดสภาพในการสังเคราะห์แสงสำหรับบำรุงดินต่อไป

 6. การให้น้ำ

ในพื้นที่ที่ช่วงแล้งนานกว่า 3 เดือน หากมีแหล่งน้ำเกษตรกรควรให้น้ำ 3-5 ลิตร/พื้นที่ทรงพุ่ม 1 ตารางเมตร (ปริมาณน้ำที่ให้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพื้นที่ทรงพุ่มปาล์มน้ำมัน) เพื่อให้ปาล์มน้ำมันให้ผลผลิตได้อย่างเต็มที่ตามศักยภาพ และระบบน้ำที่เหมาะสมคือ มินิสปริงเกอร์ ซึ่งมีการกระจายน้ำอย่างทั่วถึงและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสังเคราะห์แสงได้ดีกว่าระบบอื่นๆ

7.  การเก็บเกี่ยว

  • รอบการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม 15 วันต่อครั้งแต่ในช่วงที่ผลผลิตมากควรเก็บเกี่ยว 10 วันต่อครั้ง รอบการเก็บเกี่ยวที่นานเกินไปจะมีผลทำให้เก็บเกี่ยวปาล์มน้ำมันดิบ เนื่องจากเกรงว่าถ้าปล่อยไว้รอบถัดไปอาจร่วงมากเกินไป

ควรเก็บเกี่ยวเฉพาะทะลายที่มีผลร่วง 1 ผลขึ้นไป  เมื่อทลายหล่นบนพื้นจะมีผลร่วงเพิ่มขึ้นและ หากล่วง 10 ผลขึ้นไปถือว่าเป็นทะลายสุก(ทลายกึ่งสุกร่วง 1-9 ผล) แต่หากรอบการเก็บเกี่ยวน้อยกว่า 15 วัน สีผิวด้านนอกควรเปลี่ยนสี 100% 

  • ·  แกนทะลายปาล์มน้ำมันไม่ควรเกิน 1 นิ้วลดการสูญเสียเปอร์เซ็นต์น้ำมันในกระบวนการสกัดน้ำมัน

8.  การเลือกซื้อพันธุ์ปาล์มน้ำมัน

  • เลือกคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตรปัจจุบันมี 9 สายพันธุ์คือพันธุ์ปาล์มน้ำมันลูกผสมสุราษฎร์ธานี 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 และ 9
  • เลือกลูกผสมเทเนอรา ( ดูรา x พิสิเฟอรา) จากแปลงเพาะชำที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมวิชาการเกษตร ตรวจรายชื่อแปลงเพาะชำจาก  www.doa.go.th หรือสอบถามจากหน่วยงานสังกัดกรมวิชาการเกษตร

9.  แหล่งที่มาของพันธุ์ปาล์มน้ำมันที่มีจำหน่ายในประเทศไทย

  • ศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี
  • นำเข้าจากต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศคอสตาริกา เบนิน ปาปัวนิวกินี และเพิ่มประเทศมาเลเซียในปี พ.ศ. 2558
  • ผลิตโดยบริษัทเอกชนของประเทศไทย ขณะนี้มี 6 บริษัท ได้แก่ บริษัทยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม จำกัด มหาชน จ.กระบี่ , มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา  ,หจก.โกลเด้นเทเนอรา จ.กระบี่, บริษัท เปา-รงค์  ออยปาล์ม  จำกัด จ.นครศรีธรรมราช ,บริษัท ซีพีไออะโกรเทค จำกัด ชุมพร และบริษัทสยามเอลิท จำกัด กระบี่

 10. การบันทึกข้อมูล

บันทึกข้อมูลผลผลิต การใส่ปุ๋ย และวัสดุการเกษตร การป้องกันกำจัดศัตรูพืช และรายรับ – รายจ่าย ฯลฯ  เพื่อประกอบการจัดการสวนให้มีประสิทธิภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

กากเมล็ดชาน้ำมัน ประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัด กากเมล็ดชาน้ำมัน มีสารกลุ่มซาโปนิน (triterpenoid Saponin) มีฤทธ์ต่อระบบปราสาทระบบเลือด และมีผลต่อการลอกคราบแมลง สามารถกำจัดหอยเชอรี่หอยศัตรูกล้วยไม้ วิธีการใช้ป้องกันกำจัดศัตรูพืช เพื่อกำจัดหอยเชอรี่ (หว่านกากเมล็ดชาในนาข้าว 2.5 กิโลกรัมต่อไร่
พี่ธนะ มงคลชัย เกษตรกรอินทรีย์แห่งบ้านหนองตาเรือง ต.แม่ระกา อ.วังทอง จ.พิษณุโลก เป็นเกษตรกรชาวนาที่ทำนามาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายแล้ว แต่ผลผลิตข้าวที่ได้กลับลดลงเรื่อยๆ ทั้งที่ตนเองก็เพิ่มปริมาณปุ๋ยเคมีขึ้นทุกปี เขาจึงศึกษาเพิ่มเติมเพื่อหาว่าจะทำอย่างไรให้ข้าวที่ตนปลูกได้ผลผลิตมากขึ้น และลดต้นทุนในการ
วิธีการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อผลผลิต และคุณภาพของผลผลิตข้าวในแต่ละฤดู ผลของการจัดการตลอดช่วงฤดูการปลูกข้าวจะมีผลต่อคุณภาพและผลผลิตข้าวในที่สุด ราคาของข้าวเปลือกจากการซื้อขายผลผลิตข้าว นอกจากจะมีการพิจารณาตั้งแต่ความชื้นของข้าวเปลือก ลักษณะของเมล็ดได้แก่ สีเปลือก ขนาดเมล็ด