ข้าวโพดหวาน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zea mays var. rugosa

ชื่อสามัญ : Sweet corn

วงศ์ : Poaceae

ข้าวโพด เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ปลูกฤดูเดียว ลักษณะลำต้นเป็นปล้องสีเขียวจำนวน 8 – 20 ปล้อง  ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 – 4 ซม. สูงประมาณ 150 – 220 ซม. ใบมีสีเขียวลักษณะเรียว ขนาดของใบแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ โดยทั่วไปดอกตัวผู้ จะบานก่อนดอกตัวเมียและพร้อมจะผสมภายใน 1 – 3 วัน และทยอยบานทีละคู่ใช้เวลา 2 – 14 วัน ดอกตัวเมียมีลักษณะเป็นฝัก จากแขนงสั้นๆ บนข้อที่มีใบใหญ่สุด แขนงดังกล่าวประกอบด้วยใบ 8 – 13  ใบ เจริญเป็นกาบหุ้มส่วนของดอกตัวเมียและหุ้มฝัก (husk) ก้านเกสรตัวเมียมีลักษณะคล้ายเส้นไหม เจริญออกมาด้านส่วนปลายฝัก ประกอบด้วยเมือกเหนียวเพื่อดักจับละอองเกสร

การใช้ประโยชน์และคุณค่าทางอาหาร ข้าวโพดหวานจัดเป็นพืชที่ให้พลังงานสูง และมีปริมาณโปรตีนรองจากถั่วลันเตา ถั่วแขก และกระเทียม นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วยธาตุอาหารที่สูง เช่น  ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และไทอามีน นอกจากนี้พันธุ์ที่มีสีเหลืองมากๆ จะมีวิตามินเอสูง เป็นต้น

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

ข้าวโพดหวาน เป็นพืชที่ต้องการอากาศอบอุ่น อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการงอกและการเจริญเติบโตควรอยู่ระหว่าง 21 – 30 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตามอุณหภูมิที่ให้ผลผลิตที่มีคุณภาพควรอยู่ในช่วง 16 – 24 องศาเซลเซียส

การเตรียมดิน

1. ไถบุกเบิก โดยตากดินอย่างน้อย 7 วัน เพื่อกำจัดเชื้อโรคพืชและแมลงในดิน

2. หากสามารถตรวจเช็คค่า pH ของดินได้จะช่วยในด้านการเติบโตของข้าวโพด โดยค่า pH ควรอยู่ในช่วง 6 – 6.5 หากสภาพดินเป็นกรดคือต่ำกว่า 6 ให้เติมปูนขาวหรือดินโดโลไมค์ ในอัตรา 100 กก./ไร่ เพื่อปรับสภาพดิน หลังจากนั้นควรใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกช่วยปรับสภาพดินในอัตรา 2 – 5 กก./ตร.ม. ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพดินและผสมปุ๋ยเคมี สูตร 16 – 20 – 0 อัตรา 25 – 50 กก./ไร่ หากสภาพดินเป็นดินทราย ควรจะใช้ปุ๋ย สูตร 15 – 15 – 15 แทนปุ๋ย16 – 20 – 0

การเตรียมกล้า

1. เพาะกล้าในถาดหลุมเมื่อมีอายุ 7 วัน แล้วจึงย้ายการปลูก

2. หากเพาะกล้าในแปลงเพาะโดยการหว่านเมล็ดในแปลงเพาะแล้วใช้แกลบดำกลบ ควรมีวัสดุคลุมแปลงเพื่อเพิ่มความชื้นและลดความร้อนในช่วงกลางวัน

3. การหยอดเมล็ดในแปลงปลูก ควรบ่มเมล็ดก่อนโดยการใช้ผ้าชุบน้ำให้เปียกและห่อเมล็ดไว้  1 คืนให้รากเริ่มงอก แล้วนำไปหยอดในแปลงปลูกลึกประมาณ 1 ซม. และรดน้ำให้ชุ่ม

การปลูก

1. ระยะปลูก (ต้น x แถว) 25 x 75 ซม. (5.3 ต้น/ตร.ม)

– ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 1 ใช้ 2 สูตร 21 – 0 – 0 หรือ 15 – 15 – 15 อัตรา 50 กก./ไร่ โดยการละลายในน้ำ 80 ลิตร  รดบริเวณโคนต้นหรือใช้วิธีการหยอดที่โคนต้น

– ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 เมื่อปลูกได้ 20 – 25 วัน พร้อมทั้งกำจัดวัชพืช และทำการคลุมโคน โดยหลังจากนี้เป็นช่วงที่มีความสำคัญมาก เพราะข้าวโพดกำลังเริ่มสร้างช่อดอกเกสรตัวผู้ภายในลำต้นและระบบรากกำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วไม่ควรที่จะรบกวนระบบรากมากนักอาจจะทำให้ต้นเหี่ยวและชะงักการเติบโตได้

2. เมื่อข้าวโพดมีอายุได้ 30 – 40 วัน ต้นจะมีการแตกแขนง ให้เด็ดหน่อข้างลำต้นออก ให้เหลือฝักบนเพียง 1 ฝัก และควรตรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ เพราะอาจมีการเข้าทำลายของโรคราน้ำค้าง  ราสนิมและการเข้าทำลายของหนอนเจาะลำต้นและฝัก

3. เมื่อมีอายุได้ 45 – 50 วัน ใส่ปุ๋ยครั้งสุดท้าย และให้น้ำอย่างต่อเนื่อง เพราะหากขาดน้ำ ต้นข้าวโพดจะหยุดการสร้างฝักเมล็ดส่วนปลายฝักจะฝ่อทันที

การเก็บเกี่ยว

ช่วงเก็บเกี่ยว โดยทั่วไปจะเก็บเกี่ยวข้าวโพดหวานเมื่อมีอายุ 16 – 20 วันหลังจากที่ข้าวโพดผสมเกสร  ลักษณะเปลือกเมล็ดไม่หนาเกินไป การเก็บเกี่ยวก่อนกำหนดจะทำให้ข้าวโพดหวานอ่อนเกินไปและมีน้ำหนักฝักน้อย ในขณะที่การเก็บอายุมากเกินไป ถึงแม้จะได้น้ำหนักฝักมากขึ้น  แต่เปลือกเมล็ดจะหนา และข้าวโพดเสียคุณภาพ

ดังนั้นเกษตรกรผู้ปลูกจะต้องทำการนับวันที่ข้าวโพดออกไหม แล้วถึงทำการกำหนดวันเก็บเกี่ยว โดยนับจากวันออกไหม 16 – 20 วัน ขึ้นอยู่กับพันธุ์ของข้าวโพดหวาน จะพบว่าพันธุ์ลูกผสมมีช่วงการออกดอกสม่ำเสมอจะทำให้เกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เสร็จสิ้นภายในครั้งเดียว เมื่อถึงกำหนดการเก็บเกี่ยวในช่วงเวลาที่เหมาะสมจะสัมพันธ์กับความอ่อน – แก่ ขนาด รูปร่าง รสชาติและน้ำหนักของข้าวโพดหวาน  ส่วนการเก็บก่อนการจำหน่ายฝักสด หรือก่อนการแปรรูปในโรงงานอุตสาหกรรมจะเป็นตัวแปรสำคัญต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ข้าวโพด

บทความที่เกี่ยวข้อง

แอลฟาทอกซินในข้าวโพด เชื้อสาเหตุ: เกิดจากเชื้อรา Aspergillus flavus ลักษณะอาการ: เชื้อรา Aspergillus flavus จะสร้างกลุ่มของสปอร์สีเหลืองปนเขียว ซึ่งเห็นความแตกต่างได้จากโรคจากเชื้อราอื่น ๆ เมื่อทำการเก็บเกี่ยว การแพร่ระบาด: เชื้อราตัวนี้สามารถเจริญบนไหมของฝักข้าวโพดและเจริญเข้าไป
สถานการณ์การจำหน่ายน้ำตาลทราย ให้แก่ผู้ประกอบกิจการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกปี พ.ศ. 2559 บริษัทผู้ผลิตสินค้าฯ ได้รับสิทธิซื้อน้ำตาลทรายโควตา ค. จ้านวน 98 บริษัท ปริมาณน้ำตาลทรายที่ให้สิทธิ จ้านวน 3,651,037 กระสอบ (100 กก./กส.) เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ.2558 ร้อยละ 7.32 ณ 31 กรกฏาคม 2559 บริษัทผู้ผลิตสินค้าฯ
การระบาดของแมลงศัตรูอ้อยในช่วงเดือนต่างๆ ได้แก่ หนอนกอลายจุดเล็ก หนอนกอลายจุดใหญ่ หนอนกอลายใหญ่ หนอนกอลายแถบแดง หนอนกอสีชมพู หนอนกอสีขาว แมลงหวี่ขาวอ้อย เพลี้ยกระโดดอ้อย เพลี้ยจักจั่นสีน้ำตาล เพลี้ยจักจั่นงวง เพลี้ยกระโดดดำ เพลี้ยหอยอ้อย เพลี้ยอ่อนสำลี เพลี้ยแป้งสีชมพู มวนอ้อย ไรแมงมุมอ้อย ด้วงหนวดยาวอ้อย แมลงนูนหลวง ปลวกอ้อย แมลงค่อมทอง ด้วงขี้ควาย ด้วงดำ ด้วงงวงอ้อย ตั๊กแตนไฮโรไกรฟัส ตั๊กแตนโลกัสต้า ตั๊กแตนปาทังก้า และหนอนบุ้ง