การปลูกพืชหมุนเวียน ช่วยเสริมรายได้ และเพิ่มผลผลิต

สยามคูโบต้า นำองค์ความรู้ KUBOTA (Agri) Solutions เกษตรครบวงจร ไปต่อยอดและพัฒนาเกษตรกร ด้วยการทำแปลงทดสอบการปลูกพืชหมุนเวียน (Revolving crop model) ในพื้นที่นาข้าว ณ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มทำนาห้วยตาดข่า จ.อุดรธานี  โดยร่วมกับ ศูนย์วิจัยและพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชขอนแก่น กรมวิชาการเกษตร เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรใช้พื้นที่นาให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสร้างรายได้เพิ่ม จากการปลูกพืชหลังนา  

สำหรับแปลงทดสอบดังกล่าว สยามคูโบต้า ได้เริ่มทำการปลูกข้าว ในช่วงเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2559  โดยใช้รถดำนา ทำการปักดำต้นกล้าด้วยระยะห่างที่เหมาะสมกับพันธุ์ข้าว และใช้เทคโนโลยีปุ๋ยสั่งตัดให้เหมาะสมกับค่าวิเคราะห์ดินในการบำรุงรักษาแปลงข้าว  ในช่วงเก็บเกี่ยวได้ใช้รถเกี่ยวนวดข้าวเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยพบว่า ได้ผลผลิตปริมาณ 733 กิโลกรัม/ไร่ และได้กำไร 5,000 บาท/ไร่ สำหรับวิธีดั้งเดิมแบบหว่านที่เกษตรกรทำอยู่ ได้กำไร 3,396 บาท ซึ่งทั้งสองวิธีได้กำไรแตกต่างกัน 1,605 บาท หรือคิดเป็น 47 %

ภายหลังจากที่เกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว ยังได้ทำการปลูกถั่วเหลืองในพื้นที่นาข้าว ระหว่างเดือน ธันวาคม 2559 – เมษายน 2560 โดยใช้แทรกเตอร์ขนาด 40 หรือ 50 แรงม้า (รุ่น L ซีรีส์) ติดผานพรวนและโรตารี่ ทำการไถกลบตอซังข้าวและพรวนดินให้ละเอียดสม่ำเสมอกัน จากนั้นใช้เครื่องหยอดเมล็ดถั่วเหลือง ทำการหยอดเมล็ดพันธุ์ให้มีระยะห่างระหว่างแถว 30 เซนติเมตร เพื่อให้สะดวกในการพรวนดิน กำจัดวัชพืช และใส่ปุ๋ย ในส่วนของขั้นตอนการเก็บเกี่ยว ได้ใช้รถเกี่ยวนวดข้าวติดตั้งอุปกรณ์เก็บเกี่ยวถั่วเหลือง โดยพบว่า ได้ผลผลิต 245 กิโลกรัม/ไร่ และได้กำไรจากการขายเมล็ดพันธุ์ 1,640 บาท/ไร่ (ราคาขาย 20 บาท/กก.)*  สำหรับการปลูกถั่วเหลืองด้วยวิธีดั้งเดิมที่เกษตรกรทำอยู่ ได้ผลผลิต184 กิโลกรัม/ไร่ และได้กำไรจากการขายเมล็ดถั่วเหลือง 240 บาท (ราคาขาย 16 บาท/กก.)**  และหลังจากที่เก็บเกี่ยวถั่วเหลืองเสร็จแล้ว จะทำการไถกลบต้นถั่วเหลืองลงสู่ดิน เพื่อใช้เป็นปุ๋ย ทำให้เกษตรกรลดต้นทุนการใส่ปุ๋ยในฤดูกาลทำนาในครั้งถัดไป

ตลอดระยะเวลาของการทำแปลงทดสอบ สยามคูโบต้า ได้มีการจัดอบรมให้ความรู้ให้แก่เกษตรกร ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดหาเมล็ดพันธุ์  การปลูก  การดูแลรักษา  ตลอดจนการเก็บเกี่ยว เพื่อให้เกษตรกรมีความรู้เกี่ยวกับการปลูกถั่วเหลืองให้ได้ผลผลิตดี และมีประสิทธิภาพ นับเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์พื้นที่หลังการทำนาได้มากขึ้น เพราะนอกจากจะช่วยปรับปรุงบำรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์และสร้างรายได้เสริมให้แก่เกษตรกรแล้ว ยังเกิดความคุ้มค่าในการใช้เครื่องจักรกลการเกษตร และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ ได้อีกด้วย เพราะสามารถนำมาใช้งานได้หลากหลายและเกิดประโยชน์สูงสุดในทุกฤดูกาลเพาะปลูก  

ความสำเร็จจากการทำแปลงทดสอบ ณ วิสาหกิจชุมชนทำนาห้วยตาดข่าในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตรที่เปิดโอกาสให้เกษตรกรและชุมชนอื่นๆ ได้เข้ามาศึกษาวิธีการทำเกษตร เพื่อให้เกิดการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และสร้างรายได้อย่างยั่งยืน

* ผลผลิตด้วยวิธี KAS ขายได้ 20 บาท/กก. เนื่องจากเป็นเมล็ดพันธุ์ถั่วเหลืองที่มีคุณภาพและมีการบำรุงรักษาอย่างดี อีกทั้งยังได้รับการทดสอบจากหน่วยงานราชการแล้วว่ามีคุณภาพอีกด้วย

** ผลผลิตด้วยวิธีดั้งเดิม ขายได้ 16 บาท/กก. เนื่องจากเป็นเมล็ดถั่วเหลืองเกรดต่ำ

หมายเหตุ: ตัวเลขทั้งหมดได้จากผลการทดสอบ ณ แปลงทดสอบวิสาหกิจชุมชนทำนาห้วยตาดข่า จ.อุดรธานี  ในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงกันทั้งสองวิธี โดยผลการทดสอบอาจเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพพื้นที่ ภูมิอากาศ  การระบาดของโรคและแมลง การระบาดของวัชพืช อัตราค่าจ้างแรงงานในแต่ละพื้นที่ พฤติกรรมการเพาะปลูกในแต่ละพื้นที่ การเลือกพันธุ์ที่ใช้ปลูก และปริมาณน้ำฝนในแต่ละพื้นที่และในแต่ละปี รวมทั้งขึ้นอยู่กับผลค่าวิเคราะห์ดิน

บทความที่เกี่ยวข้อง

พันธุ์ข้าวที่ใช้ปลูกควรมีคุณสมบัติด้านการเจริญเติบโตเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในพื้นที่ปลูก และให้ผลผลิตดีแม้ในสภาพดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างต่ำ