ทำนาดั้งเดิม นาหยอด ปรับระดับพื้นที่นาด้วยระบบเลเซอร์ แบบไหนดีที่สุด?

การทำนาแบบ นาหว่าน มักเป็นที่นิยมและใช้กันมาอย่างยาวนาน แต่จริง ๆ แล้วการทำนาหว่าน เป็นการใช้เงินและทรัพยากร คุ้มค่าเพียงพอ สำหรับเกษตรกรไทยหรือไม่..? และหากเปรียบเทียบกับการทำนาในรูปแบบ นาหยอด และ การปรับระดับพื้นที่นาด้วยระบบเลเซอร์ (Laser land leveling) แบบไหนจะช่วยเพิ่มกำไรให้เกษตรกรได้มากกว่ากัน ในบทความนี้ KAS หรือ KUBOTA (Agri) Solutions จะมาเปรียบเทียบการทำนาทั้ง 3 รูปแบบให้เกษตรกรไทยได้เรียนรู้ถึง
ความแตกต่างและนำไปใช้ให้เหมาะสมกับแปลงของตนเอง เพื่อยกระดับงานเกษตรขึ้นอีกขั้น

“เรียนรู้ถึงความแตกต่างของการทำนาปัจจุบัน
เทียบกับ 10 – 20 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้รู้ว่าเกษตรกรหยุดนิ่งไม่ได้”

10 – 20 ปีที่ผ่านมา เกษตรกรใช้แรงงานคนเป็นหลัก แต่การใช้แรงงานคนอาจไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมเท่าใดนัก จึงมีการนำ ‘เทคโนโลยีการผลิต’ หรือตัวช่วยงานเกษตรเข้ามาใช้ เช่น รถไถนาเดินตาม แทรกเตอร์ โดรน หรือระบบ Auto Steering ซึ่งเป็นระบบบังคับพวงมาลัยอัตโนมัติ ที่จะเข้ามาช่วยทั้งด้านการเพาะปลูก การจัดการแปลง ช่วยพลิกโฉมการทำนาแบบดั้งเดิม ให้กลายเป็น Smart Farm

โดรนพ่นยา โดรนเกษตร โดรนคูโบต้า

และถึงแม้ในปัจจุบัน จะมีเทคโนโลยีให้เกษตรกรได้เลือกสรรอยู่มากมาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเหมาะสมกับทุกพื้นที่ของเกษตรกร ดังนั้นเกษตรกรควรจะเลือกใช้เทคโนโลยีให้เหมาะกับพื้นที่ของตนเองมากที่สุด

เกษตรกรไทย ชาวนา ปลูกข้าว

ทำนาดั้งเดิม VS นาหยอด VS นาหยอดกับปรับระดับพื้นที่นาด้วยระบบเลเซอร์(Laser land leveling)

การทำนาแบบดั้งเดิม

  • ทำนาแบบหว่าน เกษตรกรแต่ละคนไม่สามารถกำหนดปริมาณเมล็ดพันธุ์ที่จะใช้ในแต่ละแปลงได้แน่นอน ทำให้บางครั้งอาจจะใช้เมล็ดพันธุ์จำนวนมากเกินความจำเป็น
  • ไถ ปั่นแปลง จัดการพื้นที่ตามปกติ
  • ใช้การหว่านมือ หรือเครื่องหว่าน
  • ใช้เครื่องยนต์หรือเคียวกำจัดวัชพืช
  • จัดการดิน ปุ๋ยด้วยการใส่ปุ๋ยคอก มูลสัตว์ และปุ๋ยเคมี

การทำนาหยอด แบบ KAS เกษตรครบวงจร

  • ทำนาแบบหยอดน้ำตม สามารถควบคุมปริมาณเมล็ดพันธุ์ได้แม่นยำมากขึ้น เมื่อมีการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรเข้ามาช่วยในการทำงาน เนื่องจากเครื่องหยอดเมล็ดสามารถปรับตั้งปริมาณเมล็ดพันธุ์ที่หยอดในแต่ละครั้งได้ ทำให้ข้าวโตได้สม่ำเสมอทั่วกันทั้งแปลง
  • จัดการน้ำแบบเปียกสลับแห้ง ช่วยควบคุมปริมาณน้ำในแปลง ให้เหมาะสมกับกับระยะการเจริญเติบโตของข้าว แปลงข้าวจึงไม่ต้องขังน้ำตลอดฤดูกาลเพาะปลูก ทำให้ข้าวเจริญเติบโตได้ดี และช่วยลดต้นทุนการใช้น้ำในแปลงได้อีกด้วย
  • บำรุงพืชด้วยการใช้โดรนพ่นยา หว่านปุ๋ย ทำให้ข้าวได้รับสารในปริมาณที่เท่ากันอย่างทั่วถึง ส่งผลให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสม่ำเสมอเท่ากันตลอดทั้งแปลง
  • มีการวิเคราะห์ดินก่อนการเพาะปลูกเสมอ ซึ่งจะช่วยให้ข้าวได้รับสารอาหารได้อย่างเหมาะสม

ปรับระดับพื้นที่นาด้วยระบบเลเซอร์ (Laser land leveling) แบบ KAS เกษตรครบวงจร

  • ปรับระดับพื้นที่ให้สม่ำเสมอด้วยระบบเลเซอร์ (Laser land leveling)
  • ควรปรับระดับพื้นที่ในช่วงที่แปลงนาแห้ง (ไม่ควรปรับในนาแบบน้ำตม) โดยการปรับครั้งหนึ่ง สามารถอยู่ได้ 2 – 3 ปี
  • ทำนาแบบหยอดน้ำตม ตามแบบ KAS เกษตรครบวงจร

เปรียบเทียบผลลัพธ์การทำนาทั้ง 3 รูปแบบ

ทดสอบการทำนาทั้ง 3 รูปแบบ เพื่อหาผลลัพธ์และเปรียบเทียบความคุ้มค่า โดยแบ่งสัดส่วนของพื้นที่ออกเป็น ทำนาดั้งเดิม 1 ไร่  นาหยอด 1.5 ไร่ (ทำนาเปียกสลับแห้ง และมีการวิเคราะห์ดิน) และทำนาหยอดและปรับระดับพื้นที่นาด้วยระบบเลเซอร์ อยู่ที่ 1.5 ไร่ ทำคันนากั้น (ทำนาเปียกสลับแห้ง และมีการวิเคราะห์ดิน) ซึ่งได้ผลลัพธ์ดังตารางต่อไปนี้

ผลลัพธ์ปลูกข้าวนาหว่าน นาหยอด และนาหยอดพร้อมปรับพื้นที่ด้วยระบบเลเซอร์

*กำไรเปรียบเทียบจากผลผลิตข้าวเปลือกที่ความชื้น 15%

*ราคาขายข้าวประมาณ 12 บาท/ กก. (ราคาผลผลิตอ้างอิงจากราคาข้าวเปลือกของแต่ละจังหวัด สมาคมโรงสีข้าวไทย ประจำวันที่ 25 สิงหาคม 2566)

*คำนวณปริมาณน้ำคร่าว ๆ จากความสูงพื้นที่

*สัดส่วนการแบ่งพื้นที่ ทำนาดั้งเดิม 1 ไร่

  1. นาหยอด 1.5 ไร่ (ทำนาเปียกสลับแห้ง และมีการวิเคราะห์ดิน)
  2. ทำนาหยอดและปรับระดับพื้นที่นาด้วยระบบเลเซอร์ อยู่ที่ 1.5 ไร่ ทำคันนากั้น (ทำนาเปียกสลับแห้ง และมีการวิเคราะห์ดิน)

ข้อควรรู้ก่อนทำนาหยอด และการปรับระดับพื้นที่นาด้วยระบบเลเซอร์

  1. ต้นทุน – การทำนาหยอดด้วย DS10 และการปรับระดับพื้นที่นาด้วยระบบเลเซอร์ อาจต้องมีการปรับพื้นที่ทุก ๆ 2 – 3 ปี เนื่องจากการทำงานด้วยเครื่องจักรขนาดใหญ่จะส่งผลทำให้พื้นที่กลับมาไม่สม่ำเสมอ จึงต้องใช้ทุนที่สูงกว่าปกติ
  2. ขนาดของแปลง – แปลงที่ปรับระดับด้วยระบบเลเซอร์ควรมีขนาดใหญ่ เพราะการปรับระดับพื้นที่ด้วยระบบเลเซอร์มีค่าใช้จ่ายพอสมควร หากปรับระดับด้วยระบบเลเซอร์ในพื้นที่นาขนาดเล็ก อาจทำให้ไม่คุ้มค่า
  3. ความต่างระดับ – ในหนึ่งแปลงไม่ควรมีความต่างระดับเกิน 20 ซม. เนื่องจากในการเตรียมแปลงต้องมีการปรับหน้าดินจากจุดที่มีระดับสูงไปยังระดับที่ต่ำกว่า จนอาจทำให้สูญเสียธาตุอาหารสำคัญในระดับหน้าดินได้
  4. วิเคราะห์ปรับปรุง – หมั่นสังเกตการเจริญเติบโต การใส่ปุ๋ย ธาตุอาหารให้เหมาะสมในแต่ละช่วงของข้าว เพื่อให้ผลผลิตได้ตามที่คาดการณ์
  5. ความเหมาะสมของดินและน้ำ – ต้องวิเคราะห์ดินให้ดี เพราะดินในแต่ละลักษณะต้องมีการควบคุมน้ำสำหรับการเตรียมแปลงที่แตกต่างกัน และต้องเป็นพื้นที่ที่เข้าถึงแหล่งน้ำได้ตลอดเวลา ทั้งนี้เพื่อให้การจัดการน้ำมีประสิทธิภาพสูงสุด
นาหยอด ปลูกข้าวนาหยอด
Smart Farm Kubota ศึกษางานเกษตรฟรี

“สนใจเรียนรู้การทำนาหยอด และการปรับพื้นที่
ด้วยระบบเลเซอร์ (Laser land leveling) และนวัตกรรมใหม่ อื่น ๆ
อีกมากมาย เรียนรู้ได้จากที่ไหน”

หากคุณเป็นเกษตรกรที่ต้องการศึกษา Solutions พัฒนาการทำงานเกษตรที่ครบวงจร สามารถเยี่ยมชมฟรีได้ที่ KUBOTA FARM คลิกที่นี่ เพื่อลงทะเบียน หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่านช่องทาง:

แหล่งที่มา:

อ้างอิงตัวเลขข้อมูลและผลลัพธ์จากโครงการ Smart Farming Role Model ณ วิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ทุ่งทองยั่งยืน ต.จรเข้สามพัน อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี จัดทําในพื้นที่ประมาณ 4 ไร่ เพาะปลูกวันที่ 2 พฤษภาคม 2566 เก็บเกี่ยววันที่ 25 สิงหาคม 2566

ดาวน์โหลด :

ที่มาของข้อมูล :

บทความที่เกี่ยวข้อง

ทำความรู้จักกับเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเพาะปลูก และกำจัดศัตรูพืช
“แทรกเตอร์ คูโบต้า” เป็นแทรกเตอร์ที่ช่วยทุ่นแรงในการทำการเกษตรให้กับเกษตรกร แต่การใช้งานก็ต้องควบคู่ไปกับการดูแลซ่อมบำรุงรักษา ตรวจเช็กสภาพ เพื่อยืดอายุการใช้งานของแทรกเตอร์คูโบต้าให้อยู่กับเราไปนาน ๆ เหมือนกับวันแรกที่ตัดสินใจลงทุนซื้อมา เทคนิคในการซ่อมบำรุงรักษาแทรกเตอร์คูโบต้าจะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย
ทำไมต้องเป็นถั่วลิสง? เพราะเป็นพืชที่ต้องการใช้น้ำปริมาณ 611 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ และมีอายุเก็บเกี่ยวที่ 85-110 วัน ซึ่งทำให้พี่น้องชาวอีสานสามารถเพาะปลูกได้ เนื่องจากไม่ต้องหาแหล่งน้ำมากในหน้าแล้ง และใช้เวลาในการเพาะปลูกไม่นาน เป็นการเพิ่มรายได้หลังสิ้นฤดูนาปี “ถั่วลิสง เป็นพืชที่นิยมปลูก