การทำนาเปียกสลับแห้ง ยกระดับการจัดการน้ำ ลดโลกร้อน

การทำนา นับเป็นรากฐานวิถีชีวิตของคนไทย ที่หล่อหลอมวัฒนธรรม ค่านิยม และประเพณีอันดีงามแก่สังคมมาช้านาน รวมไปถึงในด้านเศรษฐกิจที่ให้คนไทยมีกินมีใช้มาหลายทศวรรษ แต่รู้หรือไม่ว่าการทำนาแบบดั้งเดิมกลับเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นภาวะโลกร้อน และส่งผลให้สภาพอากาศแปรปรวนมากขึ้น ฉะนั้นถึงจะเป็นวัฒนธรรมที่ยึดถือมาเช่นไร ก็ควรมีการปรับปรุงเพื่อนำไปสู่แนวทางใหม่ที่ยั่งยืนยิ่งกว่า ด้วยการ ทำนาเปียกสลับแห้ง ร่วมปฏิรูปวิถีการทำนาไปพร้อมกันกับ KAS ในบทความนี้

ปลูกข้าวแบบเดิม หรือ ปรับให้ดีขึ้น เปลี่ยนมุมมองเพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

การทำนาในประเทศไทย คือ การทำนาแบบดั้งเดิมที่จะขังน้ำไว้ในแปลง เนื่องจากมีความเชื่อว่าข้าวควรจะมีน้ำตลอดไม่ให้ขาดจึงจะได้ผลผลิตที่ดี แต่รู้หรือไม่อันที่จริงแล้วข้าวไม่ใช่พืชที่ต้องการน้ำตลอดเวลาเพียงแต่ทนทานต่อน้ำได้ดีเท่านั้น และนอกจากนี้การขังน้ำไว้ในแปลงเป็นเวลานานยังก่อให้เกิดกระบวนการหมักภายในดิน ซึ่งจะปลดปล่อยก๊าซมีเทนออกมาทำให้เกิดภาวะโลกร้อนอีกด้วย เกษตรกรไทยจึงควรปรับเปลี่ยนมาเป็นการทำนาเปียกสลับแห้งที่เหมาะสมและยั่งยืนมากกว่า ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังช่วยให้การทำนามีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

การทำนาเปียกสลับแห้ง ข้าวแข็งแกร่ง โลกแข็งแรง

การทำนาเปียกสลับแห้ง คือ แนวทางการเพาะปลูกที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการควบคุมระดับน้ำในแปลงนาให้เกิดสภาวะเปียกและแห้งสลับกันอย่างเหมาะสม จึงเหมาะกับพื้นที่ที่ควบคุมน้ำได้ เช่น เขตชลประทาน โดยจะทำให้นามีน้ำขังและแห้งสลับกัน ตามความเหมาะสมในแต่ละระยะการเจริญเติบโตของข้าว ซึ่งจะช่วยให้ผลลัพธ์การทำนาดีขึ้น และลดการปลดปล่อยก๊าซมีเทนซึ่งเป็นตัวการสำคัญของภาวะโลกร้อนให้น้อยลง

การทำนาเปียกสลับแห้ง

ข้อดีมากมาย รายได้มากมี

  • รากข้าวดูดซึมสารอาหารได้ดี เมื่อปล่อยให้นาแห้งข้าวจะเกิดความกระหายในระยะสั้น กระตุ้นให้รากดูดซับสารอาหารได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อเติมปุ๋ยและน้ำลงไป ข้าวจะเจริญเติบโตได้ดีและอุดมสมบูรณ์
  • ต้นข้าวเติบโตแข็งแรง เมื่อนาแห้งข้าวจะได้รับอากาศและแสงอย่างเต็มที่ ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของรากใหม่ แตกกอได้มากขึ้น มีภูมิต้านทานต่อศัตรูพืช ทั้งช่วยลดปัญหาข้าวอวบน้ำ ซึ่งทำให้ข้าวอ่อนแอต่อโรคและแมลง
  • ลดการใช้น้ำ 25 – 30% เมื่อเทียบกับการทำนาแบบดั้งเดิม
  • เพิ่มประสิทธิภาพของปุ๋ย เมื่อนาแห้งจะเกิดรอยแยกขึ้น ช่วยให้ปุ๋ยที่หว่านลงรอยแตกระแหงได้ลึกถึงรากข้าว เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซับสารอาหาร
  • ลดความเสี่ยงข้าวล้ม โดยปกติข้าวจะเติบโตทางลำต้นและใบเพื่อหนีและป้องกันน้ำท่วม เมื่อขาดน้ำข้าวจะแตกกอและหยั่งรากลงใต้ดิน จึงทำให้ลดความเสี่ยงข้าวล้มเมื่อเก็บเกี่ยว
  • ลดต้นทุน ค่าน้ำ ค่าพลังงาน และค่าสารเคมี
  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 30% เนื่องจากกระบวนการหมักภายในดินและแปลงนาลดลง
เปียกสลับแห้งแกล้งข้าว

พันธุ์ข้าวที่เหมาะสำหรับการทำนาเปียกสลับแห้ง

ข้าวทุกสายพันธุ์สามารถทำนาเปียกสลับแห้งได้ แต่จะมีข้อแตกต่างกันระหว่างสายพันธุ์ที่อายุสั้นและอายุยาว ในเรื่องระยะเวลาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

  1. ข้าวอายุสั้น ทำเปียกสลับแห้งได้ 1 ครั้ง เนื่องจากระยะเวลาช่วงแตกกอจะสั้นกว่า
  2. ข้าวอายุยาว ทำเปียกสลับแห้งได้ 2 ครั้ง เนื่องจากระยะเวลาช่วงแตกกอจะยาวนานกว่า

เป็นชาวนารักษ์โลกด้วยการทำนาเปียกสลับแห้ง

  1. เตรียมอุปกรณ์ จัดทำท่อพีวีซีขนาด 4 นิ้ว ยาว 25 ซม. ให้วัดจากขอบท่อมา 5 ซม. เจาะรูทั้งหมด 4 จุด ทำรูรอบท่อทุก ๆ 5 ซม.
อุปกรณ์ทำนาเปียกสลับแห้ง
  1. อัดฟาง เพื่อจัดเก็บฟางข้าวที่เหลือในแปลงให้เรียบร้อย เพื่อลดวัสดุที่ทำให้เกิดการหมักและปลดปล่อยก๊าซมีเทนออกมาน้อยที่สุด ด้วยเครื่องอัดฟาง HB135
  2. เตรียมดินก่อนปรับระดับพื้นที่ ไถด้วยผานบุกเบิกให้ดินมีความลึก 20 ซม. หลังจากนั้นให้ไถซ้ำด้วยผานพรวนเพื่อย่อยก้อนดินให้มีขนาดประมาณ 5 – 6 ซม. และทำการปั่นด้วยโรตารี่เพื่อย่อยขนาดก้อนดินอีกครั้งก่อนทำการปรับระดับ
  3. ปรับระดับพื้นที่ให้เรียบเสมอ โดยจุดที่สูงที่สุดและต่ำที่สุดไม่เกิน 5 ซม. ด้วยการปรับพื้นที่แปลงนาด้วยระบบเลเซอร์ (Laser Land Leveling) หรือ การรังวัดด้วยดาวเทียมแบบจลน์ (Global Positioning System-Real Time Kinematics) ช่วยให้หน้าดินเรียบเสมอได้ 3–5 ปี
ปรับหน้าดินด้วย Laser Land Leveling ก่อนทำนาเปียกสลับแห้ง
  1. เตรียมแปลงสำหรับเพาะปลูก หากพื้นที่สม่ำเสมอแล้วเกษตรกรสามารถเอาน้ำเข้าแปลงและทำเทือก ชักร่องน้ำพร้อมทำการปักดำได้เลย แต่หากหน้าดินมีการปรับเยอะ ควรมีการไถพลิกหน้าดินและไถพรวนอีกครั้งเพื่อปรับโครงสร้างดินให้มีความเหมาะสมกับการปลูกข้าว และดำเนินการตามขั้นตอนเตรียมแปลงปกติก่อนทำการปักดำ
  2. ปักดำ ปฏิบัติตามปกติโดยใช้รถดำนาปรับให้ต้นกล้าลงดินครั้งละ 5 – 7 ต้น ให้มีความลึก 3 – 5 ซม.
  3. หลังปักดำ 1 – 2 วัน ฝังท่อวัดระดับหรือติดตั้งเซนเซอร์วัดระดับน้ำ
  4. หลังปักดำ 7 – 10 วัน ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 1 หลังใส่ปุ๋ยให้ทำเปียกสลับแห้ง (ปล่อยน้ำแห้งจนกระทั่งระดับน้ำในท่อลดลงต่ำกว่าระดับผิวดิน 15 ซม. จึงสูบน้ำเข้าแปลงและปล่อยแห้งอีกครั้ง ทำแบบนี้ไปจนกว่าข้าวอายุ 45 – 50 วัน
  5. เมื่อดินแตกระแหงช่วงทำเปียกสลับแห้งรอบสุดท้ายหรืออายุข้าวประมาณ 45 – 50 วัน ใส่ปุ๋ยรอบที่ 2 พอปุ๋ยละลายสูบน้ำเข้าแปลงและรักษาระดับน้ำในช่วงข้าวตั้งท้องถึงก่อนเก็บเกี่ยว

ก่อนเก็บเกี่ยว 10 – 15 วัน ให้ระบายน้ำออกจากแปลงให้นาแห้ง เพื่อเร่งให้ข้าวสุกพร้อมกัน

ก่อนสูบน้ำเข้านาเปียกสลับแห้ง

ทำดีได้ดี ทำนาเปียกสลับแห้งได้คาร์บอนเครดิต

การทำนาเปียกสลับแห้งสามารถดำเนินการขอรับคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ซึ่งเป็นสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกจากแหล่งผลิตก๊าซต่าง ๆ เช่น โรงงานผลิต เป็นต้น ซึ่งสามารถนำไปขายให้กับแหล่งรับซื้อต่าง ๆ คลิกที่นี่เพื่อตรวจสอบแหล่งรับซื้อ เพื่อสร้างรายได้ให้กับเกษตรเพิ่มเติม โดยสามารถขอรับรองคาร์บอนเครดิตได้จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ภายใต้โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) ดังนี้

  1. ยื่นเอกสารความประสงค์ขอดำเนินโครงการ
  2. การประชุมรับฟังความคิดเห็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
  3. ทำการเก็บข้อมูลดินและวัสดุทางการเกษตรเพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของแปลง
  4. ทำการเพาะปลูกตามวิธีเปียกสลับแห้ง และบันทึกข้อมูลการเพาะปลูกโดยละเอียด เพื่อนำไปคำนวณการปลดปล่อยคาร์บอนตามมาตรฐาน IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change)
  5. รวบรวมข้อมูลจัดทำ PDD (Project Design Document) เพื่อยื่นตรวจสอบความใช้ได้ของโครงการ
  6. กระบวนการตรวจสอบจากผู้ตรวจสอบภายนอก
  7. ยื่นขอขึ้นทะเบียนโครงการ
  8. หลังจากดำเนินการ 5 ปี ยื่นทวนสอบเพื่อขอรับรองคาร์บอนเครดิตอีกครั้ง
  9. หากเกษตรกรทำผ่านทุกกระบวนการแล้วสามารถขึ้นทะเบียนขอรับคาร์บอนเครดิตได้ โดยระยะเวลาโครงการคือ 5 ปี และต่ออายุได้ 2 ครั้ง รวมเป็น 15 ปี

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต คลิกเลย

สภาวะโลกเปลี่ยนแปลง การทำนาก็ต้องเปลี่ยนไป
ชาวนาไทยต้องรับมืออย่างไร

ภาวะโลกร้อนทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้หลากหลายประเทศมีมาตรการกีดกันสินค้าที่สร้างก๊าซเรือนกระจกซึ่ง ข้าว เป็นหนึ่งสินค้าที่สร้างก๊าซเรือนกระจกเป็นอันดับต้น ๆ จากวิธีการเพาะปลูกแบบดั้งเดิม หากปรับเปลี่ยนมาทำนาเปียกสลับแห้งซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง จะช่วยลดมาตรการกีดกันสินค้า เพิ่มการส่งออกข้าว สร้างรายได้ ส่งเสริมคุณภาพและภาพลักษณ์ข้าวไทยในระดับสากล

ศึกษาการทำนาเปียกสลับแห้งได้ที่ KUBOTA Farm เป็นเกษตรกรรักษ์โลก ไปพร้อมกัน

การทำเปียกสลับแห้งในประเทศไทยมีการริเริ่มมาหลายปี แต่เกษตรกรหลายท่านยังมีความกังวลว่าผลผลิตจะเสียหาย จึงอาจยังใช้วิธีการเดิม ๆ ที่ทำให้การทำนาเปียกสลับแห้งไม่ได้ผลลัพธ์เท่าที่คาดหวัง หากคุณต้องการศึกษาการทำนาเปียกสลับแห้งที่ถูกต้องเพื่อเพิ่มความมั่นใจ KAS ขอเรียนเชิญเกษตรกรทุกท่านมาที่ KUBOTA FARM รับชมการเกษตรวิถีใหม่ ลงทะเบียนเยี่ยมชมได้ฟรีที่นี่ คลิกเลย หรือติดต่อสอบถามได้เลยผ่านช่องทางดังนี้

ดาวน์โหลด :

ที่มาของข้อมูล :

บทความที่เกี่ยวข้อง

ปัญหาน้ำท่วมขังในแปลงเพาะปลูก ควรแก้ไขอย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ
ภัยแล้ง คือปัญหาที่เรามักได้ยินเป็นประจำ เป็นปัญหาใหญ่ที่สร้างผลกระทบในหลากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ดังนั้นในบทความนี้ KUBOTA จะพาไปทำความรู้จักกับภัยแล้ง พร้อมแนะนำวิธีการรับมือ จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย