วิธีการเพาะกล้าข้าวสำหรับนักดำนามืออาชีพ

มีคำกล่าวที่ว่า “เริ่มต้นดี มีชัยไปกว่าครึ่ง”

แต่สำหรับพี่น้องชาวนา การเริ่มต้นที่ดีนั้นหมายถึง โอกาสในการเพิ่มผลผลิต และเงินรายได้ในปีนั้นเลยทีเดียว ดังนั้นห้องเรียนเกษตรในฉบับนี้จะนำเสนอวิธีการเพาะกล้าข้าวอย่างมืออาชีพ ซึ่งจะช่วยให้ท่านสามารถเพาะกล้าให้ได้กล้าข้าวที่มีคุณภาพ ปราศจากโรค และประหยัดต้นทุนในระยะยาว

ขั้นตอนการเตรียมเมล็ดพันธุ์

1. ตรวจสอบความงอกของเมล็ดพันธุ์ โดยมีวิธีการคือ นำเมล็ดข้าวพันธุ์ดีที่จะปลูกจำนวน 100 เมล็ด แช่น้ำไว้ 24 ชั่วโมง แล้วนำมาวางเรียงไว้บนกระดาษหนังสือพิมพ์หรือกระดาษทิชชูที่แช่น้ำจนชุ่ม แล้วปิดด้วยกระดาษชุ่มน้ำอีกชั้นหนึ่งหลังเรียงเมล็ดข้าวเรียบร้อยแล้ว วางไว้ในที่ร่มและมีความชื้น 24 – 48 ชั่วโมง เปิดกระดาษออกนับจำนวนเมล็ดที่งอก ถ้างอกเกิน 85 เมล็ด ก็ถือว่าเมล็ดพันธุ์มีความงอกสูงสามารถนำไปใช้ได้

2. การคัดข้าวโดยนำเมล็ดพันธุ์ข้าวใส่ลงไปในน้ำสะอาด หรือถ้าต้องการเมล็ดพันธุ์คุณภาพสูงก็ต้องคัดโดยใช้น้ำเกลือ โดยการผสมเกลือแกงกับน้ำสะอาด อัตราส่วนคือ เกลือ 1.5 – 2 กิโลกรัม ต่อน้ำ 10 ลิตร แล้วใช้มือคนเมล็ดข้าว จากนั้นก็ตักเมล็ดที่ลอยออก แล้วนำเมล็ดข้าวที่จมอยู่มาล้างด้วยน้ำสะอาดเพื่อกำจัดความเค็ม เมล็ดข้าวที่ได้คือเมล็ดที่มีความสมบูรณ์สูง เหมาะแก่การใช้เป็นพันธุ์ข้าว

3. แช่ข้าว นำเมล็ดข้าวใส่กระสอบที่น้ำสามารถผ่านได้ดี แล้วแช่ลงในน้ำสะอาด ใช้เวลาประมาณ 24 – 48 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับชนิดข้าว อุณหภูมิ และปัจจัยอื่นๆ) อาจแช่ในแหล่งน้ำไหลหรือน้ำนิ่ง เช่น ภาชนะก็ได้

4. บ่มข้าว นำข้าวขึ้นจากน้ำ ยกข้าวขึ้นจากน้ำให้สะเด็ดน้ำเป็นเวลา 1 คืน ให้ข้าวแตกตุ่มตาประมาณ 1 มิลลิเมตร เป็นระยะที่เหมาะสมที่สุดในการใช้งาน เพราะถ้าตุ่มตายาวมากจะติดขัดเครื่องโรยกล้า และหน่อจะหักได้ง่าย โดยอุณหภูมิในการบ่มไม่ควรต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส และไม่สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส

ขั้นตอนการเพาะ

1. ใส่วัสดุเพาะ เช่น ขี้เถ้าแกลบ หรือดินละเอียด ลงในถาดเพาะกล้าให้วัสดุเพาะมีความสูงประมาณ 20 – 23 มิลลิเมตร (จากก้นถาด) โดยทำการปาดให้วัสุดเพาะมีความสม่ำเสมอ แล้วรดน้ำให้ชุ่ม (ประมาณ 1 – 1.5 ลิตรต่อถาด)

2. โรยเมล็ดพันธุ์ที่ได้เตรียมไว้ลงไป ประมาณถาดละ 180 – 220 กรัมต่อถาด

3. โรยวัสดุเพาะปิดหน้าประมาณ 3 – 5 มิลลิเมตร

4. ซ้อนถาดบ่มไว้ในที่ร่มประมาณ 2 คืน (36 – 48 ชม.) กล้าจะเริ่มงอกเป็นสีขาวๆ

5. ย้ายถาดที่บ่มไว้แล้ว ไปแผ่ถาดในแปลงอนุบาลกล้า ที่มีความชื้นแต่ยังไม่ต้องใส่น้ำในแปลงจนเย็นวันที่ 3 ค่อยใส่น้ำลงแปลงระดับความสูงของน้ำครึ่งขอบถาดเพาะกล้า

* ขั้นตอนที่ 1 – 3 เป็นขั้นตอนที่ต้องใช้แรงงานเยอะ บริษัทสยามคูโบต้าฯ จึงได้คิดค้นเครื่องเพาะกล้าแบบกึ่งอัตโนมัติ (SR – K800TH) ขึ้นมา เพื่อให้เกษตรกรประหยัดแรงงาน และทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย

ขั้นตอนการดูแลแปลงเพาะกล้า

คอยดูแลรักษาระดับน้ำในแปลงเพาะให้มีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการขาดน้ำของกล้าข้าว ซึ่งอาจจะทำให้กล้าข้าวชะงักการเจริญเติบโตและตายได้ หมั่นตรวจโรคและแมลง ในช่วงเช้าทุกวันเพื่อจะได้ป้องกันรักษาได้ทันท่วงที


ระยะเวลาของการเพาะกล้าที่ใช้สำหรับรถดำนาคูโบต้า

การนับเวลาในการเพาะกล้าจะนับตั้งแต่เริ่มโรยกล้าลงในถาดเพาะ เพราะการเจริญเติบโตของข้าวแต่ละพันธุ์แตกต่างกัน พันธุ์ข้าวแต่ละชนิดจะใช้เวลาไม่เท่ากันแบ่งได้คร่าวๆ ดังนี้

  • ข้าวเจ้า จะใช้ระยะเวลาในการเพาะกล้าที่เหมาะสมที่สุดคือประมาณ 18 – 19 วัน
  • ข้าวเหนียว จะใช้ระยะเวลาในการเพาะกล้าที่เหมาะสมที่สุดคือประมาณ 13 – 15 วัน

การเตรียมกล้าให้พร้อมสำหรับการปักดำ

เมื่อกล้าเจริญเติบโตจนพร้อมปักดำ ก่อนจะนำกล้าออกจากแปลงเพาะเพื่อนำไปปักดำ ต้องมีการระบาดน้ำออกปล่อยให้แปลงเพาะกล้าแห้งประมาณ 2 – 3 วัน เพื่อบังคับให้กล้ามีความแกร่ง ต้นและรากมีความเหนียวไม่หักเสียหายได้ง่าย ในขณะเคลื่อนย้ายและปักดำ

“ขั้นตอนเหล่านี้มีความสำคัญถึงขนาดเป็นตัวชี้วัดผลผลิตข้าวของท่านในฤดูกาลนั้นเลยทีเดียว หากทำได้ตามขั้นตอนที่กล่าวมาก็เปรียบเสมือนว่าท่านพี่น้องเกษตรกรได้วางรากฐานความสำเร็จไปแล้วครึ่งทาง”

บทความที่เกี่ยวข้อง

พบมาก ในนาชลประทาน ภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง สาเหตุ เชื้อไวรัส Rice Ragged Stunt Virus (RRSV) อาการ ต้นข้าวเป็นโรคได้ ทั้ง ระยะกล้า แตกกอ ตั้งท้อง อาการของต้นข้าวที่เป็นโรค สังเกตได้ง่าย คือ ข้าวต้นเตี้ยกว่าปกติ ใบแคบและสั้นสีเขียวเข้ม แตกใบใหม่ช้ากว่าปกติ แผ่นใบไม่สมบ
ลักษณะของข้าว เป็นลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต และการให้ผลิตผลของต้นข้าว ในท้องที่ ปลูกการทนต่อสภาพแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงเสมอๆ ตลอดถึงคุณภาพของเมล็ดข้าว ฉะนั้น พันธุ์ข้าวที่ดีจะต้องมีลักษณะเหล่านี้ดี และเป็นที่ต้องการของชาวนา และตลาดลักษณะที่สำคัญๆ
การปลูกพืชในพื้นที่ดินเค็มควรเลือกชนิดพืชให้เหมาะสม เนื่องจากพืชแต่ละชนิดทนเค็มได้ไม่เท่ากัน สำหรับการจัดการดินเค็มเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจทนเค็ม ควรปรับปรุงบำรุงดินด้วยอินทรียวัตถุ เช่น แกลบดิบ ขี้เถ้าแกลบ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยพืชสด การให้น้ำควรให้แบบระบบน้ำหยด จะช่วยควบคุมความชื้นดินและความเค็มของ