ปัจจุบันนี้ ได้มีเกษตรกรบางส่วนเริ่มเปลี่ยนพื้นที่จากการปลูกข้าวมาเป็นอ้อยในหลายพื้นที่ เนื่องจากเล็งเห็นโอกาสที่มั่นคงของ “อ้อย” เพราะเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความต้องการของตลาดจำนวนมาก และที่สำคัญ มีการกำหนดราคาที่ชัดเจน แต่ด้วยเกษตรกรบางราย ไม่กล้าตัดสินใจที่จะเปลี่ยนพื้นที่จากการทำนามาเป็นอ้อย เพราะตนเองไม่มีประสบการณ์การปลูกอ้อย กังวลเรื่องต้นทุนการผลิตที่สูง และไม่มีความรู้ในการใช้เครื่องจักรกลการเกษตร
สยามคูโบต้า ร้านค้าผู้แทนจำหน่าย และกลุ่มวังขนาย จึงได้ร่วมกันส่งเสริมการปลูกอ้อยในนาข้าว ด้วยวิธี KUBOTA (Agri) Solutions เกษตรครบวงจร เพื่อจุดประกายให้เกษตรกรเห็นว่าการปลูกอ้อยสามารถปลูกได้ทุกพื้นที่ แม้กระทั่งในนาข้าว และยังได้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพด้วย ผ่านรูปแบบการทำแปลงส่งเสริม KAS จำนวน 8 ไร่ บริเวณโรงงานน้ำตาลวังขนาย บ้านโคกล่าม อ.บรบือ จ.มหาสารคาม โดยมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ คือ ได้ผลผลิตจำนวน 26.64 ตัน/ไร่ ใช้ต้นทุนประมาณ 8,400 บาท/ไร่ และได้กำไรอยู่ที่ 24,000 บาท/ไร่ (ไม่รวมค่าตัดอ้อยและค่าขนส่ง เนื่องจากขายเป็นอ้อยพันธุ์)
หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการทำแปลงส่งเสริม KAS จึงได้มีการผลักดันให้เกษตรกรรอบโรงงานหันมาปลูกอ้อยกันมากขึ้น โดยกลุ่มวังขนายได้ทำการคัดเลือกเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการ พร้อมทั้งสนับสนุนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในด้านการเพาะปลูก บุคคลากร และสถานที่ นอกจากนี้ ยังให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรที่เปลี่ยนพื้นที่นาข้าวเป็นอ้อยจำนวน 500 บาท/ไร่
ในขณะที่ สยามคูโบต้าและร้านค้าผู้แทนจำหน่าย ได้นำความรู้เรื่องการปลูกอ้อยข้ามแล้ง ด้วยวิธี KAS ไปเผยแพร่ให้กับกลุ่มเกษตรกร และให้การสนับสนุนเครื่องจักรกลการเกษตร โดยเฉพาะแทรกเตอร์ที่เหมาะสมกับงานไร่อ้อย ได้แก่ แทรกเตอร์ รุ่น M และแทรกเตอร์ขนาดเล็ก รุ่น B พร้อมทั้งอุปกรณ์ต่อพ่วงที่สามารถดูแลได้ครบทุกงานไร่อ้อย
สำหรับการปลูกอ้อยในพื้นที่นาข้าว ด้วยวิธี KAS มีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
1.การเตรียมพื้นที่เพาะปลูก ใช้แทรกเตอร์ติดผานระเบิดดินดาน ไถเตรียมดิน เพื่อเปิดช่องให้น้ำฝนเข้าไปกักเก็บที่ใต้ดิน และใช้ผานพรวน ไถกลบพืชปุ๋ยสดและวัชพืชให้อยู่ใต้ผิวดิน เพื่อเร่งการย่อยสลายและปรับโครงสร้างดินให้ร่วนซุย และใช้โรตารี่ ปั่นดินให้ละเอียด เพื่อปิดผิวหน้าดินและลดการสูญเสียความชื้นใต้ดิน
2.การเพาะปลูก ใช้เครื่องปลูกอ้อยแบบร่องคู่ เพื่อให้บำรุงรักษาได้ง่ายและประหยัดท่อนพันธุ์อ้อย นอกจากนี้ เครื่องปลูกอ้อยยังสามารถใส่ปุ๋ยรองพื้น ซึ่งเมื่อต้นอ้อยเติบโตจากท่อนพันธุ์อ้อยแล้ว สามารถนำปุ๋ยไปใช้เพื่อการเจริญเติบโตได้ทันที
3.การบำรุงรักษา ในระยะยืดปล้องและระยะสร้างน้ำตาล ใช้แทรกเตอร์รุ่น B ติดเครื่องฝังปุ๋ย เพื่อให้อ้อยได้รับปุ๋ยอินทรีย์อย่างทั่วถึง และใช้โรตารี่ ปั่นดินและกำจัดวัชพืชในระยะช่องว่างระหว่างแถวอ้อย ทดแทนการใช้สารเคมี
หนึ่งในเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จจากการปลูกอ้อยในพื้นที่นา คือ คุณกริชอารักษ์ รักษาพล เกษตรกรจาก อ.บรบือ จ.มหาสารคาม จากเดิมที่ปลูกข้าวจำนวน 60 ไร่ หลังจากที่ได้ติดตามแปลงส่งเสริม KAS ได้แบ่งพื้นที่ปลูกข้าวเหลือเพียง 5 ไร่ และเพิ่มพื้นที่ปลูกอ้อยเป็น 55 ไร่ เนื่องจากมั่นใจว่าการปลูกอ้อยในนาข้าว สามารถทำกำไรได้ดีกว่าการปลูกข้าว อีกทั้งยังมีเครื่องจักรกลการเกษตรเข้ามาช่วยในขั้นตอนต่างๆ โดยที่ผ่านมา คุณกริชอารักษ์ได้ปลูกอ้อยตามคำแนะนำของสยามคูโบต้าและกลุ่มวังขนายมาโดยตลอด ทำให้ได้ผลผลิตที่ดีตามมาตรฐานโรงงานน้ำตาล และได้กำไรที่น่าพอใจ ในอนาคตยังวางแผนที่จะเช่าพื้นที่นา เพื่อทำการปลูกอ้อยเพิ่มเติมอีกด้วย
การส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกอ้อยในนาข้าว นับเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่น่าสนใจในการช่วยชาวนาได้มีทางเลือกในการทำเกษตรในยุคปัจจุบัน โดยสยามคูโบต้าและกลุ่มวังขนายเอง ก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยให้ประสบความสำร็จด้วยเช่นกัน
หมายเหตุ : ข้อมูลดังกล่าว ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพพื้นที่ ภูมิอากาศ การระบาดของโรคและแมลง การระบาดของวัชพืช อัตราค่าจ้างแรงงานในแต่ละพื้นที่ พฤติกรรมการเพาะปลูกในแต่ละพื้นที่ การเลือกพันธุ์ที่ใช้ปลูก และปริมาณน้ำฝนในแต่ละพื้นที่และในแต่ละปี รวมทั้งขึ้นอยู่กับผลค่าวิเคราะห์ดิน