วิธีการจัดการดินที่ใช้น้ำน้อย
1. การคลุมดิน (Mulching) เป็นการเก็บความชื้นในดินเพื่อให้พืชที่ปลูกสามารถนําน้ำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
ชนิดวัสดุคลุมดิน (ควรเลือกวัสดุคลุมดินที่หาได้ง่าย และเหมาะสมกับชนิดพืชที่ปลูก)
1. วัสดุเศษพืช เช่น แกลบ ฟางข้าว ขี้เลื่อย กากอ้อย หญ้าแห้ง ฯลฯ
2. วัสดุสังเคราะห์ เช่น กระดาษ แผ่นพลาสติก
ประโยชน์การคลุมดิน
ด้านกายภาพ :
– ลดแรงกระแทกของเม็ดฝน
– ลดอุณหภูมิภายในดิน และลดการจับตัวเป็นแผ่นแข็งที่ผิวดินเนื่องจากการสูญเสียน้ำ
– รักษาสภาพภูมิอากาศบริเวณรอบทรงต้นพืชให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต
– ลดการระเหยน้ำจากผิวดิน ชะลอการไหลบ่าของน้ำ และลดการชะล้าง พังทลายของดิน
ด้านเคมี :
– ช่วยเร่งปฏิกิริยาในการย่อยสลายสารประกอบไนโตรเจนจากวัสดุหรือสารอินทรีย์จากตอซังหรือเศษซากพืชที่ใส่ลงไปในดินให้เร็วขึ้น
ด้านชีวภาพ
– เพิ่มกิจกรรมจุลินทรีย์ในดินทําให้พืชเจริญเติบโต และให้ผลผลิตคุณภาพดีขึ้น
2. การปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย เช่น การปลูกพืชคลุมดิน (Cover Crops)
เป็นการปลูกพืชที่มีใบหนาแน่น หรือมีระบบรากแน่นปกคลุมหน้าดิน และยึดดินไว้ เช่น การปลูกพืชตระกูลถั่วหรือตระกูลหญ้า
ชนิดของพืชคลุมดิน
1. พืชตระกูลถั่ว : พืชปุ๋ยสดตระกูลถั่ว (ถั่วพร้า ถั่วพุ่ม ปอเทือง โสนอัฟริกัน ถั่วมะแฮะ) ถั่วปืนตอย ถั่วคาโลโปโกเนียม ถั่วคุดซู ถั่วไซราโตร ถั่วซีรูเลียม
2. พืชตระกูลหญ้า : หญ้าเนเปีย หญ้ากินนี
3. หญ้าแฝก (ตัดใบคลุมดิน)
ควรเลือกพืชคลุมดินที่เจริญเติบโตเร็ว แข่งกับวัชพืชไม่ให้ตั้งตัวได้ทัน เลื้อยปกคลุมพื้นที่ว่าง ถ้าเป็นพืชตระกูลถั่วจะยิ่งดี เพราะสามารถตรึงไนโตเจนจากอากาศ เมื่อพืชคลุมดินตายจะปลดปล่อยธาตุอาหารลงสู่ดิน
ประโยชน์ของพืชคลุมดิน
ด้านกายภาพ :
– ลดแรงกระแทกของเม็ดฝน
– ลดการสูญเสียธาตุอาหารที่เกิดจากการชะล้างพังทลายของดิน
– รักษาความชุ่มชื้นในดิน
ด้านเคมี :
– เพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุ และธาตุอาหารพืช ดินมีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มขึ้น ทําให้พืชเจริญเติบโตและผลผลิตดีขึ้น
ด้านชีวภาพ
– เพิ่มกิจกรรมจุลินทรีย์ในดินและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมทําให้พืชเจริญเติบโต และให้ผลผลิตคุณภาพดีขึ้น
ด้านอื่นๆ :
– ลดอัตราการใช้ปุ๋ยเคมี
– เพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย