เผย 5 วิธีการปลูกข้าวนาปี วิธีไหนทำกำไรสูงสุด ลดต้นทุนได้จริง

การปลูกข้าวนาปี คือ ข้าวที่ปลูกในฤดูทำนาปกติ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน-พฤศจิกายน ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีเพาะปลูก ที่สะท้อนถึงภูมิปัญญาอันชาญฉลาดของผู้คนในอดีต แม้จะอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำอย่าง กลุ่มเกษตรกรบ้านโดน-โนนลาน ตำบลแวงดง อำเภอยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม ก็ยังสามารถปลูกข้าวได้อย่างมีคุณภาพ ด้วยการอาศัยน้ำฝนจากธรรมชาติ

ทว่า ในปัจจุบันที่ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล คาดการณ์ช่วงฝนตกได้ยาก และ ปัญหาการขาดแคลนแรงงานเกษตรในพื้นที่ ทำให้เกษตรกรบ้านโดน-โนนลาน ไม่สามารถคาดการณ์ช่วงเวลาของฝนเพื่อเตรียมการเพาะปลูกข้าวนาปีได้ และต้องเสียต้นทุนการทำนาซ่อม หรือไปจนถึงการปลูกใหม่ซึ่งต้องเสียต้นทุนและโอกาสในแต่ละปีซ้ำแล้วซ้ำเล่า และด้วยเกษตรกรผู้สูงอายุมีมากขึ้น เกษตรรุ่นใหม่ที่จึงต้องหาวิธีการใหม่ ๆ อย่างการนำเครื่องจักรกลการเกษตรเข้ามาทดแทน

ในวันนี้ ทาง KAS ได้ทดลองทำนา 5 วิธี ทดสอบในพื้นที่จริง และจะมาเผยเทคนิคการปลูกข้าวนาปี พร้อมเปรียบเทียบให้ดูว่าวิธีไหนทำกำไร ลดต้นทุนต่อไร่สูงสุด และวิธีไหนเหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลาใด ไปดูกันเลย

ก่อนทำจริง! 5 เทคนิคการปลูกข้าวนาปี

แม้การปลูกข้าวจะมีวิธีการที่หลากหลาย ทาง KAS ได้รวบรวมเทคนิค และสรุปได้ดังนี้

  1. วางแผนเลือกวิธีปลูกให้เหมาะกับฤดูกาล
    1. หากฝนมาช้า – ใช้วิธีหว่านแห้งหรือหยอดด้วยเครื่อง
    2. หากฝนเริ่มต่อเนื่อง – ใช้วิธีหว่านน้ำตม ดำนามือ หรือ ใช้รถ
  2. ลดต้นทุนและควบคุมการใช้เมล็ดพันธุ์
    1. วิธีการหยอดแห้ง = 11 กิโลกรัม/ ไร่ ต้นข้าวขึ้นเป็นแนว จัดการง่าย
    2. วิธีการหว่านแห้ง = 25 – 30 กิโลกรัม/ ไร่ สิ้นเปลืองเมล็ดพันธุ์ และความหนาแน่นของต้นข้าวในแปลงไม่สม่ำเสมอ
  3. ระดับน้ำในแปลงแต่ละช่วง มีความสำคัญกับการเจริญเติบโตของข้าว
    1. ช่วงต้น = น้ำไม่ควรท่วมยอดกล้าข้าว และไม่ควรให้แปลงแห้ง
    2. ช่วงออกรวง = รักษาระดับน้ำ 25-30 ซม.
    3. ก่อนเก็บเกี่ยว = ระบายน้ำให้ดินแห้งก่อนการใช้รถเกี่ยว
  4. ป้องกันข้าวล้มและควบคุมวัชพืชด้วยวิธี “การตัดใบข้าว”
    1. โดยการตัดยอดใบข้าวและยอดวัชพืชออกให้เสมอกันทั้งแปลง เพื่อให้ต้นข้าวโตและคลุมวัชพืช และลดความเสี่ยงต้นข้าวล้มและจมน้ำจากการเจริญเติบโตทางต้นที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นปัญหาใหญ่ในช่วงเก็บเกี่ยวได้
  5. ใช้เครื่องจักรกลการเกษตรให้เหมาะกับงาน
    1. ให้ความสำคัญกับการเตรียมดิน เตรียมดินได้ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
    2. การใช้เครื่องหยอดเมล็ดช่วงก่อนฝน ช่วยประหยัดเมล็ดพันธุ์ได้มากกว่า 50%
    3. การใช้รถดำนา ช่วยปลูกได้เร็ว ต้นข้าวเป็นแถวและกอสวย อัตราแตกกอดี แข็งแรงและจัดการแปลงง่าย ลดแรงงานคนได้มากถึง 50% และให้กำไรต่อไร่สูงสุด

ทดลองเพาะปลูกข้าว 5 วิธีที่กลุ่มบ้านโดน-โนนลาน กับ KAS

ทาง KAS ได้ทดสอบวิธีการปลูกให้เหมาะสมกับพื้นที่และช่วงเวลาปลูก ขึ้นกับปริมาณน้ำฝนในแต่ละช่วงเวลาที่ปลูก ได้แก่

การปลูกและเตรียมนาช่วงแห้ง-ฝนน้อย

1. การปลูกแบบหว่านแห้ง (ปลูกในช่วงเมษายน – พฤษภาคม)

2. การปลูกแบบหยอดแห้งด้วยเครื่องหยอด (ปลูกในช่วงเมษายน – พฤษภาคม) การปลูกและเตรียมนาเปียก-มีฝนและน้ำมาก

3. การปลูกแบบหว่านน้ำตม (ปลูกในช่วงมิถุนายน – กรกฎาคมพฤศจิกายน)

4. การปลูกแบบดำนาด้วยมือ (ปลูกในช่วงมิถุนายน – พฤศจิกายน)

5. การปลูกแบบดำนาด้วยรถดำนา (ปลูกในช่วงมิถุนายน – พฤศจิกายน)

1. การปลูกข้าวนาปีแบบหว่านแห้ง (วิธีดั้งเดิม)

ปัจจุบันการปลูกข้าวที่บ้านโดน-โนนลาน จะใช้วิธีการปลูกข้าวแบบหว่านแห้งเป็นหลัก เนื่องจากพื้นที่มีข้อจำกัดเรื่องน้ำ และการเข้าถึงระบบชลประทาน จึงต้องอาศัยน้ำฝนจากธรรมชาติเป็นหลัก โดยมีขั้นตอนปลูกดังนี้

1.1 หว่านเมล็ดข้าว ใช้แรงงานคนในการหว่านเมล็ดข้าวให้ทั่วทั้งแปลง อัตราการหว่านที่ 25-30 กิโลกรัม/ ไร่ และใช้รถแทรกเตอร์ติดตั้งอุปกรณ์โรตารี่ในการคลุกเคล้าเมล็ดและดิน ข้าวหว่าน

1.2 ทิ้งไว้รอฝน เมื่อฝนตกข้าวจะเริ่มงอก

อย่างไรก็ตาม แม้การหว่านข้าวเป็นวิธีที่สะดวกและง่าย แต่ยังต้องการพึ่งพาแรงงานคน ความหนาแน่นของการหว่านเมล็ดพันธุ์อาจไม่สม่ำเสมอ และใช้เมล็ดพันธุ์สูงถึง 25-30 กิโลกรัม/ ไร่

2. การปลูกข้าวนาปีด้วยวิธีการหยอดแห้ง ด้วยเครื่องหยอด MS360

เปลี่ยนจากการหว่านเมล็ดพันธุ์ด้วยแรงงานคน เป็นการหยอดเป็นแถวด้วยเครื่องหยอดเมล็ดคูโบต้า MS360 โดยมีขั้นตอนปลูกดังนี้

2.1 หยอดเมล็ดข้าวพันธุ์ หลังการเตรียมดิน ใช้แทรกเตอร์ติดตั้งเครื่องหยอดเมล็ด MS360 ทำการหยอดเป็นแนว โดยวิ่งเป็นแนวไป-กลับ ให้ทั่วทั้งแปลง ซึ่งเครื่องหยอดจะทำการหยอดพร้อมกับกลบหน้าดินอัตโนมัติ

2.2 ทิ้งไว้รอฝน เช่นเดียวกับการหว่านแห้ง

ซึ่งเครื่องหยอดเมล็ดคูโบต้า MS360 สามารถหยอดได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ กำหนดระยะห่างของแนวการหยอดได้ และช่วยลดการใช้เมล็ดพันธุ์ลงมาเหลือเพียง 11 กิโลกรัม/ ไร่ เท่านั้น เรียกว่าลดต้นทุนจากวิธีเดิมได้ครึ่งต่อครึ่ง

ทั้งนี้ KAS ยังได้สังเกตเห็นว่า แม้การปลูกล่วงหน้าเพื่อรอฝนจะมีความสะดวก แต่ยังมีความเสี่ยงจากฝนที่คาดการณ์ได้ยาก อาจทำให้เสียต้นทุนของการปลูกซ่อมและต้นทุนเมล็ดพันธุ์ซ้ำซ้อน จึงทดลองปลูกด้วยวิธีที่ประยุกต์เข้ากับช่วงเวลาที่มีน้ำและฝนซึ่งได้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจมากกว่า อย่างการหว่านน้ำตม

3. การปลูกด้วยวิธีหว่านน้ำตม

3.1 การบ่มเมล็ดข้าว นำเมล็ดไปแช่ในน้ำและบ่มในวัสดุกึ่งปิด เพื่อให้เมล็ดข้าวมีการงอกของราก กระบวนการนี้ใช้เวลาประมาณ 3-4 วัน

3.2 การหว่านข้าวงอก ทำการหว่านหลังจากการตีดินและน้ำยังขุ่นตะกอนดิน เมล็ดข้าวงอกจะตกลงในดินและถูกกลบด้วยตะกอนดินที่แขวนลอยในน้ำ ทำให้เมล็ดข้าวไม่ลอยไปกับน้ำ

ทั้งนี้ การหว่านน้ำตม ยังพบความเสี่ยงจากนกที่อาจมารบกวนหลังหว่านอาจทำให้เมล็ดเสียหาย KAS จึงปรับทดลองการปลูกที่ลดความเสี่ยงด้วย การปลูกด้วยต้นกล้า เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า

4. การปลูกข้าวนาปีแบบดำนาด้วยมือ

เป็นวิถีการปลูกข้าวตามภูมิปัญญาของคนไทยแต่ดั้งเดิมส่งทอดกันมา ด้วยการใช้กล้าข้าวในการดำนา ถือเป็นวิธีที่ต้นข้าวแข็งแรงและสมบูรณ์

  1. การเตรียมต้นกล้า การเตรียมกล้าสำหรับดำนาด้วยมือเรียกว่า “การตกกล้า” คัดเลือกและนำกล้าที่เจริญเติบโตอายุประมาณ 25-30 วัน และมีความสูงรวมรากที่ประมาณ 30-40 เซนติเมตร
  2. การดำนาด้วยมือ ด้วยการใช้แรงงานคนในการปักดำ การปักครั้งนึงใช้จับละ 5-7 ต้น ลึกประมาณ 3-5 ซม. โดยปกติจะใช้คนประมาณ 3-5 คน/ ไร่

แม้การดำกล้าข้าวด้วยมือเป็นวิธีที่ให้ผลผลิตสูงและน่าสนใจ แต่บางครั้งอาจแม่นยำไม่มากนัก เช่นระยะห่างระหว่างต้น ปักลึกไม่สม่ำเสมอ ต้นเอียงล้ม และใช้เวลาและใช้แรงงานคนสูงมาก ซึ่งทาง KAS ได้เสนอการแก้ปัญหาด้วย การดำนาด้วยเครื่องจักร เพื่อแก้ปัญหาและหาผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น

5. การปลูกข้าวนาปี ด้วยวิธีการดำนา ด้วยรถดำนา 6 แถว KW6-M

เป็นวิธีการที่ KAS แนะนำ ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการปลูกข้าวที่ให้ประสิทธิภาพมากที่สุด โดยวิธีการเตรียมดินจะเหมือนกับการเตรียมนาเปียกทั่วไป โดยมีวิธีการเตรียมกล้าและการปลูกดังนี้

  1. การเตรียมต้นกล้าแผ่น รถดำนาจะใช้เป็นกล้าแผ่นอายุประมาณ 15-20 วัน ขึ้นกับชนิดของข้าว ซึ่งสามารถจัดหาได้จาก “ศูนย์จำหน่ายกล้าแผ่นคูโบต้า” ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ สามารถตรวจสอบได้ ที่นี่หรือ ศึกษาวิธีการเพาะกล้าข้าวสำหรับนักดำนามืออาชีพ ได้ที่นี่
  2. การดำนาด้วยรถดำนา โดยใช้รถดำนา 6 แถวคูโบต้า รุ่น KW6-M ซึ่งสามารถวางกล้าได้ครั้งละ 6 แถว ช่วยลดระยะเวลาการปลูก เพิ่มประสิทธิภาพการวางกล้าให้สูงขึ้น ด้วยความแม่นยำและสม่ำเสมอ ช่วยให้งอกพร้อมกันได้ทั้งแปลง และที่สำคัญ ช่วยลดการใช้แรงงานคนได้มากกว่า 50%

ทั้ง 5 วิธีการปลูก ใช้เครื่องจักรกลในการพ่นปุ๋ย คือ โดรนเกษตร และเก็บเกี่ยวด้วย รถเกี่ยวนวดข้าวคูโบต้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกข้าว ประหยัดเวลาและต้นทุนแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เทียบผลลัพธ์การปลูกข้าวนาปี 5 รูปแบบ

สรุป

  1. กำไรสูงที่สุด : ดำนาด้วยรถดำนา (6,906 บาท/ ไร่) และ ดำนาด้วยมือ (6,880 บาท/ ไร่)
  2. ลดต้นทุนเมล็ดพันธุ์มากที่สุด : หยอดด้วยเครื่องหยอดเมล็ด ใช้เพียง 11 กิโลกรัม/ ไร่
  3. ลดต้นทุนเวลาและแรงงานแต่คงผลผลิตสูง : ดำนาด้วยรถดำนา
  4. วิธีที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงฤดู : ช่วงฝนน้อย-หยอดแห้ง ช่วงมีน้ำและฝน-การดำนา

คำแนะนำจาก KAS : การใช้เครื่องจักรในการปลูกข้าวในหลายๆวิธี เช่น การหยอดแห้งและการใช้รถดำนา จะช่วยแก้ปัญหาแรงงาน ลดระยะเวลา ประหยัดเมล็ดและให้ผลผลิตที่สูง แต่หากยังคงวิธีการเดิม สามารถเริ่มปรับเปลี่ยนจากการหว่านแห้งเป็นการหยอดแห้ง หรือจากการใช้กล้าตกเป็นกล้าแผ่นในการดำนาได้

หมายเหตุ : ผลการทดลองนี้เป็นตัวแทนข้อมูลของพื้นที่ทดสอบเท่านั้น ทั้งนี้ควรปรับประยุกต์วิธีการให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ควบคู่กับข้อมูลนี้ จะเกิดประโยชน์กับผู้ปลูกข้าวสูงสุด


เรียนรู้วิธีการทำนาปียุคใหม่
ที่ช่วยลดต้นทุน ทุ่นแรงและประหยัดเวลา
พร้อมทดลองขับเครื่องจักรกลการเกษตรได้ที่ KUBOTA Farm

การทำนาปีคือหนึ่งในวิถีชีวิตของเกษตรกรไทยที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน แต่เพื่อให้การทำนาในยุคนี้มีประสิทธิภาพและทันสมัยมากขึ้น การเปลี่ยนผ่านจากการใช้แรงงานคนไปสู่การใช้เครื่องจักรกลเกษตรเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม มาค้นพบวิธีการทำนาปียุคใหม่ พร้อมทั้งทดลองเครื่องจักรกลการเกษตรที่ KUBOTA FARM ลงทะเบียนเยี่ยมชมได้ฟรีที่นี่ คลิกเลย หรือติดต่อสอบถามได้เลยผ่านช่องทางดังนี้

ดาวน์โหลด :

ที่มาของข้อมูล :

บทความที่เกี่ยวข้อง

ปัจจุบันนี้การทำการเกษตรปลูกพืชด้วยวิถีอินทรีย์กำลังมาแรง และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรเป็นกอบเป็นกำ เพราะราคาพืชผักผลไม้ที่ปลูกด้วยระบบอินทรีย์มีราคาสูงกว่าพืชที่ใช้สารเคมีเกือบเท่าตัว และยังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคที่รักชีวิตตนเอง และครอบครัวด้วย เกษตรกรหลายท่านที่ยังคงใช้สารเคมีเพราะคิดว่าการ
ในบทความนี้ KAS หรือ KUBOTA (Agri) Solutions จะพามารู้จักกับเทคนิคการบินโดรนการเกษตร สำหรับกลุ่มไม้ผล อย่างลำไย ที่จะช่วยให้การบำรุงรักษาง่ายขึ้นไปพร้อมกับการฉีดพ่นสารชักนำตาดอก ที่เป็นส่วนสำคัญในการติดดอกออกผล ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ยกระดับการทำงานให้ง่าย แม่นยำ ประหยัดทั้งคน และเวลา ถ้าอยากทราบกันแล้วว่าเป็นอย่างไร ไปดูกันเลย
วิธีฉีดพ่นสารกำจัดแมลงในไร่ข้าวโพดด้วยโดรนการเกษตรคูโบต้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด