ปุ๋ยสั่งตัด นวัตกรรมการใช้ปุ๋ย ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต

ปัจจุบันมีการใช้ปุ๋ยเคมีอย่างแพร่หลาย การใช้งานส่วนใหญ่จะใช้ตามความรู้สึก การคาดการณ์หรือประสบการณ์ของเกษตรกร แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีการตรวจดินและการใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ประกอบกับการใช้ข้อมูลชุดดินอ้างอิง ทำให้สามารถใส่ปุ๋ยได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ช่วยลดการใส่ปุ๋ยเกินความจำเป็นของต้นพืชได้ นำไปสู่การลดต้นทุนค่าปุ๋ย

ขั้นตอนการใช้ปุ๋ยสั่งตัด

1) ทราบข้อมูลชุดดิน

สามารถค้นหาชุดดินในพื้นที่ของตนเองได้หลากหลายวิธี โดยวิธีที่สะดวกสำหรับเกษตรกรทั่วไปคือการสอบถามไปยังกรมพัฒนาที่ดินในพื้นที่ของตนเอง หรือเข้าไปที่เว็บไซต์ของกรมพัฒนาที่ดิน www.ldd.go.th  หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน กดดูรู้ดิน ก็จะสามารถทราบข้อมูลชุดดินในพื้นที่เพาะปลูกของตนเอง เพื่อใช้ประกอบกับการใช้ปุ๋ยสั่งตัด

2) การตรวจวิเคราะห์ดิน

ดินแต่ละตัวอย่างต้องเป็นตัวแทนของพื้นที่ที่มีความสม่ำเสมอ และขนาดของแต่ละแปลงไม่ควรเกิน 25 ไร่ (ดิน 1 ตัวอย่างเป็นตัวแทนของพื้นที่ 25 ไร่) เดินสุ่มเก็บตัวอย่างดิน15-20 จุดให้ทั่วการเก็บตัวอย่างดินแต่ละจุดต้องเก็บเศษซากพืชบนผิวดินออกเสียก่อน แต่อย่าปาดหน้าดินออก แล้วใช้จอบพลั่วหรือเสียมขุดดินเป็นหลุมรูปตัววี (V) หรือรูปลิ่ม ปลูกข้าว ให้ขุดลึก 10 ซม. พืชไร่/พืชผัก 15 ซม. ไม้ผล/ยางพารา 30 ซม. แซะดินด้านใดด้านหนึ่งของหลุม ให้ได้ตัวอย่างดินเป็นแผ่นหนา 2-3 ซม. และมีความลึกตั้งแต่ผิวดินจนถึงก้นหลุม แล้วนำตัวอย่างดินใส่รวมกันในกระป๋องพลาสติกเมื่อได้ครบ 15 จุด เทดินทั้งหมดลงบนผ้าพลาสติกที่สะอาด เก็บเศษรากพืชออก ถ้าดินเปียก ให้ตากดินในที่ร่มย่อยดินให้เป็นก้อนเล็กๆ คลุกเคล้าดินให้เข้ากัน กองดินเป็นรูปฝาชี แบ่งดินออกเป็น 4 ส่วน เก็บดินไว้เพียงส่วนเดียวและทำซ้ำจนเหลือดินหนักประมาณครึ่งกิโลกรัมสำหรับใช้ในการวิเคราะห์ถ้าดินยังเปียกอยู่ให้ตากในที่ร่มต่อไป บดให้ละเอียด อาจใช้ขวดแก้วที่สะอาด เก็บดินในถุงพลาสติก เขียนชื่อหมายเลขแปลง และวันที่ที่เก็บดินกำกับไว้ แล้วนำส่งวิเคราะห์ที่คลินิกดิน

ทั้งนี้ หากเกษตรกรต้องการตรวจดินด้วยตนเองก็สามารถทำได้ โดยใช้ชุดตรวจดินที่สามารถบอกค่า N P K และ pH ได้ เช่น ชุดตรวจดินของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นต้น

3) การผสมปุ๋ยสั่งตัด

การผสมปุ๋ยสั่งตัด สามารถทำได้เมื่อทราบข้อมูลชุดดินและค่าวิเคราะห์ดิน โดยจะมีคู่มือการผสมปุ๋ยให้มาพร้อมกับชุดตรวจดิน โดยสามารถดูสัดส่วนการผสมปุ๋ยได้จากค่าวิเคราะห์ดินที่ได้ เช่น การประยุกต์ใช้ปุ๋ยสั่งตัดกับแปลงนาข้าว กข 43 พื้นที่คูโบต้าฟาร์ม โดยทำการวิเคราะห์ดิน ประกอบกับข้อมูลชุดดินมาบบอน ก่อนการใส่ปุ๋ย ได้ค่า N P K = ต่ำ ปานกลาง ต่ำซึ่งจะได้ปริมาณการใส่ปุ๋ยตามคำแนะนำ คือ

  ปุ๋ยครั้งที่ 1 ค่า N = 7 กิโลกรัม

  ปุ๋ยครั้งที่ 2 ค่า P = 5 กิโลกรัม

  ปุ๋ยครั้งที่ 3 ค่า K = 7 กิโลกรัม

  ปุ๋ยครั้งที่ 4 ค่า N = 9 กิโลกรัม (ใส่เฉพาะ N)

  รวมปริมาณปุ๋ยทั้งหมด 23 กิโลกรัม จากปกติทั่วไป 40 – 50 กิโลกรัมต่อไร่ ได้ผลผลิตในปี 2563 ปริมาณ 633 กิโลกรัมต่อไร่

เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้งานปุ๋ยสั่งตัดที่ตรงความต้องการของพืชมากขึ้น และช่วยลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยเกินความจำเป็น รวมถึงลดโอกาสการเกิดข้าวล้มในกรณีที่ใส่ปุ๋ยมากเกินไป จนทำให้มีการเจริญเติบโตทางใบและลำต้นมากเกินความจำเป็นจนข้าวล้มได้อีกด้วย

 อ้างอิงข้อมูล

–  เอกสารแจกเกษตรกร การปลูกข้าวปลอดภัยเชิงพาณิชย์แบบเป็นมิตรกับระบบนิเวศแบบ “สั่งตัดเงินล้าน” โดย ผศ.ดร. แสงดาว เขาแก้ว และคณะ

–  http://www.ssnm.info/

–  http://www.banrainarao.com/

ดาวน์โหลด :

ที่มาของข้อมูล :

บทความที่เกี่ยวข้อง

ในการทำนาข้าวแบบดั้งเดิมนั้นหนึ่งฤดูการเพาะปลูกจะใช้น้ำประมาณ 700 -1,500 มิลลิเมตร ดังนั้นเทคนิคการจัดการน้ำแบบเปียกสลับแห้ง(แกล้งข้าว)สามารถประหยัดน้ำได้ประมาณ 30% -50% ลดปัญหานาหล่ม ป้องกันเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเนื่องจากความชื้นที่โคนกอข้าวต่ำ และกระตุ้นการออกรากของข้าว ซึ่งวิธีการนี้เหมาะสำหรับ
ชื่อสามัญ Pineapple disease สาเหตุ เชื้อรา Ceratocystis paradoxa อาการ : เป็นโรคที่เกิดกับท่อนพันธุ์ ทำให้ท่อนพันธุ์มีความงอกต่ำ หน่ออ้อยไม่เจริญเติบโต ผ่าลำดู จะเป็นสีแดงเข้มสลับดำมีกลิ่นเหม็นคล้ายสับปะรด วิธีการแพร่ระบาด : เชื้อราในดินจะเข้าทำลายทางตามรอยแผล และด้านตัดของท่อนพันธุ์ ต้นอ้อยแก่
สยามคูโบต้า นำองค์ความรู้ KUBOTA (Agri) Solutions เกษตรครบวงจร ไปต่อยอดและพัฒนาเกษตรกร ด้วยการทำแปลงทดสอบการปลูกพืชหมุนเวียน (Revolving crop model) ในพื้นที่นาข้าว ณ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มทำนาห้วยตาดข่า จ.อุดรธานี โดยร่วมกับ ศูนย์วิจัยและพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชขอนแก่น กรมวิชาการเกษตร