โรคสำคัญในเมล่อน

โรงเรือนจัดว่าเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เกษตรกรในปัจจุบันนิยมนำมาประยุกต์ใช้ในการปลูกพืชต่างๆมากมาย เช่น มะเขือเทศ เมล่อน พริกหวาน และผักสลัด เป็นต้น เนื่องจากการเพาะปลูกพืชเหล่านี้ในโรงเรือนสามารถดูแลและสามารถควบคุมการระบาดของโรคได้ได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าหากไม่สามารถควบคุมการระบาดของโรคพืชได้นั้น จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิต ทั้งทางคุณภาพและปริมาณลดต่ำลง ส่งผลถึงกำไรที่ลดลง ดังนั้นควรทำการศึกษาลักษณะโรคและวิธีป้องกันที่จะเกิดกับพืชที่ทำการเพาะปลูก เนื่องจากเมื่อพบการระบาดจะได้ทำการควบคุมได้ทันเวลา

 สำหรับวันนี้จะแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับโรคที่สำคัญในเมล่อน เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเกษตรกรที่กำลังศึกษา และจะตัดสินใจเพื่อทำการเพาะปลูกเมล่อน

1.  โรคราน้ำค้าง มักพบการระบาดในระยะการเจริญเติบโตทางลำต้นหรือในแหล่งพื้นที่เพาะปลูกที่มีความชื้นสูง

ลักษณะอาการเริ่มแรกจะเกิดจุดแผลสีเขียวซีดที่บริเวณบนใบ ต่อมาแผลจะกลายเป็นสีเหลืองและขยายจนเต็มใบถ้าหากเกิดการระบาดที่รุนแรงจะส่งผลให้ต้นตายได้

2.  โรคใบเหี่ยว

ลักษณะอาการ:  ใบลู่ลงคล้ายกับอาการต้นพืชขาดน้ำโดยใบและต้นยังมีสีเขียว เมื่อผ่านไปประมาณ 1 – 2 วันจะแสดงอาการเหี่ยวได้อย่างชัดเจน

3.  โรคราแป้ง มักพบการระบาดในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นในอากาศสูง และอุณหภูมิต่ำ มักเกิดในระยะติดผลจนถึงระยะเก็บเกี่ยว

ลักษณะอาการบริเวณผิวใบจะพบกลุ่มสปอร์เชื้อราสีขาวคล้ายแป้งปกคลุมเมื่อเกิดระบาดรุนแรงบริเวณที่พบจะเหลืองและแห้งอย่างรวดรวดเร็ว ส่งผลให้การสังเคราะห์แสงลดลง หลังจากนั้นทำให้ใบแห้งตายในที่สุด

4.  โรคยางไหล เป็นอีกหนึ่งโรคที่มักพบในเมล่อน โดยโรคนี้มักจะเกิดควบคู่กับโรคราแป้ง

ลักษณะอาการพบแผลฉ่ำน้ำ เป็นยางเหนียวสีน้ำตาลแดงที่บริเวณโคนต้น ลำต้น และก้านใบเมื่อแผลแห้งจะเป็นจุดสีดำๆกระจายอยู่ทั่วบริเวณแผล

จากโรคที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นวิธีการป้องกันที่แนะนำ คือ โรคกลุ่มเชื้อราให้ฉีดพ่นด้วยสารชีวภัณฑ์ เช่น ไตรโครเดอร์มา  หรือบาซิลลัส ซับทีลิส ทุกๆ 3-7 วัน และหากพบการระบาดรุนแรงให้พ่นด้วยกำมะถันชนิดละลายน้ำ อัตรา 30-40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร แต่ในกรณีพบ โรคใบเหี่ยว หากมีการเหี่ยวรุนแรงให้ทำการรื้อต้นและวัสดุเพาะ ออกไปทำลายโดยการเผา เนื่องจากเป็นโรคที่เกิดจากไวรัสไม่มีสารเคมีที่สามารถป้องกันได้

บทความที่เกี่ยวข้อง

จากสถานการณ์น้ำแล้ง ดร.โอภาส ตรีทวีศักดิ์ นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์จึงได้มีแนวคิดพัฒนาเครื่องวัดความชื้นดินขึ้น เพื่อใช้ตรวจวัดความชื้นของดินเพื่อประเมินปริมาณการให้น้ำพืชได้อย่างเหมาะสม ตามความต้องการของพืชได้อย่างแม่นยำ พืชต้องการน้ำแต่ละช่วงการเจริญเติบโตไม่เท่ากัน พืชแต่ละชนิด
การให้นํ้าแบบหยด (Drip or Trickle Irrigation) การให้นํ้าแบบหยด นับเป็นวิธีการให้นํ้าที่คิดค้นขึ้นมาหลังการให้นํ้าแบบอื่นๆ และกําลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ทั้งในเขตแห้งแล้งและเขตที่มีลักษณะดินเป็นดินทราย เพราะระบบการให้นํ้าแบบนี้มีการสูญเสียนํ้าน้อยมาก วิธีการให้นํ้าแบบหยดเป็นการให้นํ้าแก่พืชเป็นจุดๆ
จากการสำรวจพื้นที่ และหาข้อมูลประกอบด้านต่าง ๆ จึงกำหนดขนาดสระที่จะดำเนินการขุด ด้วยรถขุดคูโบต้า รุ่น KX080-3 ขนาด 8 ตัน ให้มีพื้นที่กักเก็บน้ำขนาด 40x20x2.5 เมตร ความสูงของคันดินขอบสระ 1.5 เมตร ความกว้าง 5 เมตร และความจุสระประมาณ 1,350 ลูกบาศก์เมตร สภาพพื้นที่เป็นที่ลุ่มสุดของ