ศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี ปรับปรุงพันธุ์ปาล์มน้ำมันรอบ 2 และได้รับการรับรองให้เป็นพันธุ์แนะนำ 3 พันธุ์ ดังนี้
สุราษฎร์ธานี 7 (เดลี่ X แทนซาเนีย) ผลผลิต 3.5 8 ตันต่อไร่ต่อปี น้ำมัน/ทะลาย 24 เปอร์เซ็นต์
สุราษฎร์ธานี 8 (เดลี่ X ยังแกมบี) ผลผลิต 3.59 ตันต่อไร่ต่อปี น้ำมัน/ทะลาย 25 เปอร์เซ็นต์
สุราษฎร์ธานี 9 (เดลี่ X แอปรอส) ผลผลิต 3.77 ตันต่อไร่ต่อปี น้ำมัน/ทะลาย 26 เปอร์เซ็นต์
ลักษณะเด่นที่ปาล์มน้ำมันต้องการ
1. ดินมีอินทรีย์วัตถุสูง 2.5 – 4.5 เปอร์เซ็นต์
2. ค่าความเป็นกรดด่าง 5.5
3. ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ 20 – 25 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
4. โพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ 100 – 120 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
5. แมกนีเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ 75 – 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
ภูมิอากาศที่เหมาะสมกับปาล์มน้ำมัน
1. ปริมาณฝน 120-150 มิลลิเมตรต่อเดือน
2. ฝนทิ้งช่วงไม่เกิน 2 เดือนความชื้นสัมพัทธ์ 50-70 เปอร์เซ็นต์
3. อุณหภูมิ 30 ถึง 40 องศาเซลเซียสแสงอย่างน้อย 5 ชั่วโมงต่อวัน
4. การให้น้ำที่เหมาะสมให้ผลผลิตสูงกว่าอาศัยน้ำฝน 33-72 เปอร์เซ็นต์
หากพื้นที่เหมาะสมน้อยถึงปานกลางต้องจัดการให้น้ำปาล์มน้ำมัน
ระบบการให้น้ำที่เหมาะสม
1. ระบบมินิสปริงเกอร์ 2-3 หัวต่อต้น
2. ปริมาณน้ำ 3-5 ลิตรต่อพื้นที่ทรงพุ่ม 1 ตารางเมตรทุกวันในช่วงแล้ง
ธาตุอาหารปาล์มน้ำมัน กรณีปาล์มน้ำมันอายุ 3 ปีขึ้นไป (สำหรับดินทั่วไป) ต้องให้ธาตุอาหาร (แบ่งใส่อย่างน้อย 3 ครั้งต่อปี) ดังนี้
การเก็บเกี่ยวปาล์มน้ำมันคุณภาพ
มาตรฐานสินค้าเกษตร “ ทะลายปาล์มน้ำมัน ” (มกษ. 5702- 2552)
ทะลายปาล์มสุก :มีผลร่วงอย่างน้อย 10 ผลต่อทลาย
ผลปาล์มน้ํามันส่วนใหญ่ผิวเปลี่ยนสีส้มสีแดงและเนื้อปาล์มมีสีส้ม
ทะลายปาล์มกึ่งสุก : มีผลร่วงน้อยกว่า 10 ผลต่อทลาย
ผลปาล์มน้ํามันส่วนใหญ่ผิวเปลี่ยนสีส้มแดงหรือสีแดงม่วง
ข้อดี
1. เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากน้ำหนักทะลายที่เพิ่มขึ้น
2. ลดต้นทุนของน้ำมันปาล์มดิบจากอัตราการสกัดที่เพิ่มขึ้น
3. เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องได้หลากหลายมากมาย