ข้าวโพดหวานลูกผสมพันธุ์ชัยนาท 86-1

ประวัติ

ข้าวโพดหวานลูกผสมพันธุ์ชัยนาท 86-1 ดำเนินการปรับปรุงพันธุ์ในระหว่างปี พ.ศ.2548-2554 ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่ชัยนาท เพื่อให้ได้ข้าวโพดหวานลูกผสมที่มีผลผลิตสูง และคุณภาพการบริโภคดี เกิดจากการผสมระหว่างสายพันธุ์แท้เบอร์ 75 กับสายพันธุ์แท้เบอร์ 50 ผ่านการประเมินผลผลิตพันธุ์ลูกผสมตามขั้นตอนของกรมวิชาการเกษตร จากการพัฒนาพันธุ์ดังกล่าวได้ข้าวโพดหวานลูกผสมสายพันธุ์ดีเด่น “CNSH 7550” และได้รับการพิจารณาให้เป็นพันธุ์รับรองในปี 2556  

ลักษณะเด่น

ให้ผลผลิตฝักสดทั้งเปลือก 2,888 กิโลกรัมต่อไร่ และผลผลิตฝักสดปอกเปลือก 1,939 กิโลกรัมต่อไร่ มีอัตราแลกเนื้อ 40 เปอร์เซ็นต์ รสชาติหวาน (13.8 บริกซ์) และปรับตัวได้ดีกับสภาพแวดล้อม

ลักษณะประจำพันธุ์

รากค้ำจุน ลำต้น และเปลือกหุ้มฝักมีสีเขียว เส้นไหมสีเขียวอ่อน อับละอองเกสรสีเหลือง มีหูใบที่ฝัก ไม่มีการแตกหน่อ วันออกดอก 50 เปอร์เซ็นต์ 50-52 วัน วันออกไหม 50 เปอร์เซ็นต์ 52-54 วัน อายุเก็บเกี่ยว 72-74 วัน เมล็ดสดสีเหลือง ขนาดฝัก (กว้าง x ยาว) 5.0 x 18.0 เซนติเมตร จำนวนแถว 16-18 แถว ความสูงต้น 220 เซนติเมตร ความสูงฝัก 120 เซนติเมตร

พื้นที่แนะนำ

ปลูกได้ทั่วไปทั้งเขตน้ำฝน และในพื้นที่ชลประทาน ทั้งก่อนฤดูการทำนา และหลังฤดูการทำนา

ข้อควรระวัง

เป็นพันธุ์ที่ไม่ต้านทานต่อโรคราน้ำค้าง และโรคใบไหม้แผลใหญ่ หากมีการระบาดของโรคควรป้องกันกำจัดตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร

บทความที่เกี่ยวข้อง

ช่วงหน้าฝนแบบนี้สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยคือปริมาณน้าที่มากขึ้น และความชื้นในอากาศที่สูงขึ้น หากฝนตกติดต่อกันเกินกว่า 2-3 วัน ควรมีการวางแผนที่ดี เพื่อป้องกันและกาจัดโรคพืชที่ตามมาในหน้าฝน ซึ่งเชื้อราเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทาให้เกิดโรคพืชมากที่สุด พืชหลายชนิดเป็นเชื้อราได้ง่าย และมีการระบาดได้อย่างรวดเร็ว
การปลูกอ้อยข้ามแล้ง หรือ การปลูกอ้อยปลายฤดูกาลปลูกอ้อยแบบหนึ่งนอกฤดูฝนโดยอาศัยปริมาณน้้าฝนในช่วงปลายฤดูฝนมาสะสมอยู่ในรูปของความชื้นในดิน และอ้อยจะอาศัยความชื้นดังกล่าว มาช่วยในการงอกและการเจริญเติบโต จนกระทั่งฤดูฝนใหม่จะมาถึงหรือฝนตกหลงฤดูตกมาเติมความชื้นในดินใหม่ให้เพียงพอต่อความเจริญเติบโตของอ้อย
ปัจจุบันเกษตรกรมักจะทำร่องน้ำสำหรับส่งน้ำเข้าไปยังแหล่งกักเก็บน้ำ โดยการขุดแนวดินเป็นร่อง แต่วิธีการนี้อาจจะโดนน้ำกัดเซาะจนดินพังทลาย เกษตรกรควรทำอย่างไร ไปดูกัน