การบริหารจัดการการผลิตอ้อย ใน อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี

อ้อย เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย โดยปัจจุบัน อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล โอกาสที่จะขยายตัวอีกมาก สืบเนื่องจากนโยบายการบริหารพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่การเพาะปลูก ไปสู่การเพาะปลูกอ้อยโรงงาน โดยเมื่อปี 59/60 ประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกอ้อยรวมทั้งประเทศกว่า 10 ล้านไร่ มีผลผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 9.3 ตัน/ไร่ โดยนิยมปลูกกันในหลายพื้นที่ อาทิ สุพรรณบุรี ราชบุรี กำแพงเพชร โดยทางสยามคูโบต้า ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้กับ Antenna Farmer ของสยามคูโบต้า  คุณธนากร เขียนวิมล ซึ่งมีประสบการณ์ในการเพาะปลูกอ้อยกว่า 17 ปี ประสบความสำเร็จและมีเทคนิคการเพาะปลูกดีๆ มานำเสนอ

โดย คุณธนากร เขียนวิมล มีภูมิลำเนาอยู่ที่ ต.หนองมะค่าโมง อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ทำการปลูกอ้อย พันธุ์ขอนแก่น 3 ในพื้นที่กว่า 800 ไร่ โดย เหตุผลที่เลือกปลูกพันธุ์ขอนแก่น 3 เพราะ เป็นพันธุ์ที่มีการแตกกอดี ใบมีลักษณะคลุมพื้นที่ได้เร็ว ทำให้แข่งขันกับวัชพืชได้ดี ส่งผลให้ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีในการกำจัดวัชพืช และพันธุ์ดังกล่าว ยังมีความต้านทานต่อโรคแส้ดำและเหี่ยวเน่าแดงอีกด้วย จุดแข็ง ที่สร้างความแตกต่างในการเพาะปลูกคือ การเตรียมดิน เพราะถ้าเตรียมดินดี จะเสมือนการสร้างฐานการผลิตที่สำคัญ คุณภาพของดินจึงเปรียบเสมือน ต้นทุนการผลิต ถ้าดินดี ต้นทุนการผลิตพืชจะต่ำ กำไรย่อมมากขึ้น จึงกล่าวได้ว่า คุณภาพของดินเท่ากับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ด้วย

เทคนิคในการปลูกอ้อย ดังนี้

การเพาะปลูกปี 60/61

เกษตรกร เริ่มต้นปลูกอ้อยในเดือน ธ.ค.ด้วยการเตรียมดิน โดยการไถบุกเบิก 2 ครั้ง ไถพรวนอีก 1 ครั้ง จากนั้นเริ่มปลูกเนื่องจากดินยังมีความชื้นอยู่ การเพาะปลูกในขณะที่ดินยังมีความชื้นอยู่จะช่วยเพิ่มอัตราการงอกได้ดียิ่งขึ้น ปลูกด้วยด้วย  M95 + SP920 ใช้ปริมาณอ้อย (1 ตัน/ไร่) แล้วให้น้ำต่อเนื่อง 6-7 ชั่วโมง หลังจากปลูก 1 เดือน จึงเข้าสำรวจแปลงเพื่อดูปริมาณวัชพืช หากพบให้รีบกำจัด จากนั้นใส่ปุ๋ยสูตร 20-8-20 อัตรา 50 กก./ไร่ จากนั้นในช่วงบำรุงรักษาจนถึงเก็บเกี่ยวคอยตรวจสอบดูแปลงหากพบความผิดปกติให้รีบจัดการ

การเริ่มต้นวางแผนการเพาะปลูกดี จะช่วยให้สามารถจัดการการเพาะปลูกที่ดี โดยการบริหารจัดการภายในแปลงปลูกขนาดใหญ่ ได้ผลผลิตรวม 12 ตัน/ไร่ ราคาขายอยู่ที่ 880 บาท/ตัน และยังช่วยให้คุณภาพชีวิตของเกษตรกรดีขึ้นอีกด้วย

โดยวิธีการแนะนำของรูปแบบของ KAS ที่ได้แนะนำแลกเปลี่ยนกับเกษตรกร ดังนี้

การเตรียมดินและการจัดการแปลง เริ่มต้นจากการระเบิดดินดาน และไถกลบวัชพืชจากนั้นพรวนดิน เมื่อเข้าสู่ระยะของการปลูกในระยะต้นเริ่มทำการปลูกพร้อมใส่ปุ๋ยรองพื้น ครั้งที่1 และฉีดสารควบคุมวัชพืชแบบก่อนงอก จากนั้นระยะย่างปล้องจึงใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 พรวนดินเพื่อกำจัดวัชพืช เมื่อต้นอ้อยเริ่มเข้าสู่ระยะสร้างน้ำตาลจึงใส่ปุ๋ยครั้งที่ 3 และพรวนดินกำจัดวัชพืชครั้งที่ 2 ซึ่งในระยะสร้างน้ำตาลนี้ อ้อยมีความต้องการน้ำในปริมาณ 5 มม./วัน ระยะของการเก็บเกี่ยวอ้อยมีควรอายุไม่เกิน 14 เดือน ทั้งนี้ได้แนะนำให้เกษตรกรใช้รถตัดอ้อยในการเก็บเกี่ยว ช่วยลดการเผาอ้อยและยังลดมลภาวะได้อีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้อง

ศัตรูธรรมชาติของแมลงสัตว์ศัตรูข้าวที่สำคัญพบทั่วไป ได้แก่ แมลงห้ำ แมลงเบียน แตนเบียน หนอนกอข้าว แมลงห้ำ แมลงห้ำมี 3 ชนิด คือ ด้วงเต่า แมลงปอ และมวนเขียวดูดไข่ ด้วงเต่า ตัวเต็มวัยมีลักษณะกลม ขนาดประมาณ 0.3 – 0.7 เซนติเมตร ด้านล่างแบนราบ ด้านบนโค้งนูน
การทำการเกษตรแบบปลอดการเผามีความจำเป็นต้องมีการจัดการระบบการเพาะปลูกพืชให้ถูกต้องและเหมาะสม โดยควรมีการนำเทคโนโลยีด้านต่าง ๆเข้ามาใช้ในแต่ละขั้นตอนการผลิตเพื่อสนับสนุนการหยุดการเผาในไร่นาควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืช การพัฒนาการเตรียมดิน การส่งเสริมให้เกษตรกรทำการพัฒนาการเตรียม
โรคใบด่างมันสำปะหลัง เกิดจากเชื้อไวรัส ในวงศ์ Geminiridae สกุล Begomovirus ปัจจุบันมีรายงานทั้งหมด 10 ชนิด โดยพบในทวีปแอฟริกา 8 ชนิด และในทวีปเอเชีย 2 ชนิด ได้แก่ Indian cassava mosaic virus (ICMV) พบในประเทศอินเดีย และ Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) พบในประเทศศรีลังกา อินเดีย เวียดนาม